สำนักข่าวไทย 16 ส.ค. – ผ่านมานานกว่าครึ่งเดือน หลังเกิดเหตุคนร้ายบุกยิงหนุ่มสาว “ฟอส-สปาย” เสียชีวิต ที่ลานจอดรถหน้าพระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ จ.ชลบุรี จนกระทั่งล่าสุดตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ครบทั้งหมด 6 คน ย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากรายงาน
บ่ายวันที่ 29 กรกฎาคม มีเสียงปืนดังขึ้น 7 นัดซ้อน ที่บริเวณลานจอดรถหน้าพระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ ท้องที่ สภ.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบผู้เสียชีวิตเป็นหญิงสาวหน้าตาดีและชายหนุ่มผู้ใกล้ชิด คือ น.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือ “สปาย” และนายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือ “ฟอส” ถูกยิงเสียชีวิต โดยพบเบาะแสสำคัญเป็นรถที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ
ชุดสืบสวนฝีมือดีจากภูธรจังหวัดชลบุรี และตำรวจภูธรภาค 2 เร่งติดตามหาคนร้ายที่ก่อเหตุ ตั้งปมสังหารทีแรกไว้หลายประเด็น ทั้งชู้สาว หนี้สิน ขัดแย้งส่วนตัว แต่น้ำหนักที่ถูกตั้งไว้มากสุด คือ ชู้สาว เพราะคนร้ายจงใจเหนี่ยวไกทูตสังหารใส่ฝ่ายหญิง 4 นัดซ้อน
ครอบครัวผู้เสียชีวิตตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ข้อมูลจากมารดาฝ่ายหญิงบอกว่า ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ลาออกจากมหาวิทยาลัย ก่อนไปใช้ชีวิตทำงานในสถานบันเทิง โดยทำงานที่ จ.ภูเก็ต และมีข้อมูลสำคัญ คือ มีเสี่ยคนหนึ่งเข้ามาติดพันตั้งแต่ปลายปี 2559 และนี่เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ชุดสืบสวนจำกัดวงสางคดี พุ่งเป้าไปยังนายปัญญา ยิ่งดัง หรือ “เสี่ยอ้วน” อายุ 39 ปี ที่โลดแล่นอยู่ในวงการสถานบันเทิงภูเก็ต
เข้าสู่เดือนใหม่ท่ามกลางข่าวดี หลังตำรวจสามารถคุมตัวผู้ต้องหาคนแรก คือ สายันต์ ศรีสุข หรือ “ยันต์” อายุ 43 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าสังหาร 2 ผู้ตาย มาได้สำเร็จ ก่อนนำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุและสอบปากคำเข้มข้น แม้อ้างไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่า แต่ให้การว่าได้รับว่าจ้างให้ตามประกบและแจ้งพิกัด เพื่อให้ “เสี่ยอ้วน” ลงมือสังหาร
ผ่านมาอีก 1 วัน ผู้ต้องหาในคดีคนที่ 2 คือ เกียรติศักดิ์ สุรางค์แสงมีบุญ หรือ “บอล” อายุ 35 ปี ถูกไล่ต้อนจับกุมได้ที่ จ.สระแก้ว สารภาพขับรถซีอาร์วีพา “เสี่ยอ้วน” ไปก่อเหตุ ก่อนเตรียมหนีข้ามไปกัมพูชา และในวันเดียวกัน หลังถูกกดดันอย่างหนัก ทำให้ผู้ต้องหาคนที่ 3 ตัดสินใจเข้ามอบตัวที่ จ.ภูเก็ต คือ นายจิรศักดิ์ อุนัยบัน หรือ “ป๊อปปี้” อายุ 34 ปี สารภาพสิ้นเป็นทีมคุ้มกัน “เสี่ยอ้วน”
ผ่านไป 2 วัน ตำรวจคุมตัวผู้ต้องหา 2 คน ทั้ง “บอล” และ “ป๊อปปี้” ไปชี้จุดเกิดเหตุและทำแผนฯ การสังหารโหดครั้งนี้ ทำให้ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับลอตแรก 4 คน ถูกรวบได้ 3 คน เหลือเพียง “เสี่ยอ้วน” ที่ยังลอยนวล แต่จากคำให้การของผู้ต้องหาที่จับได้ ทำให้ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 2 คน คือ นายณรงค์ วรินทรเวช หรือ “บ่าว” และนายกฤษณะ สีสุข หรือ “มด”
ชุดสืบสวนกดดันไล่ล่าอย่างหนัก ทำให้ 2 ผู้ต้องหาที่เพิ่งออกหมายจับประสานเข้ามอบตัวกลางดึกในวันที่ 6 สิงหาคม ประกอบด้วย “มด” ที่ตัดสินใจมอบตัวและถูกสอบปากคำข้ามวันข้ามคืน ส่วน “บ่าว” ตัดสินใจมอบตัวกับตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ก่อนถูกนำตัวบินด่วนมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ทำให้เหลือเพียงจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะประติดประต่อรูปร่างคดีได้ คือ “เสี่ยอ้วน”
มีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดว่า “เสี่ยอ้วน” ถูกรวบตัวที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่นายตำรวจระดับสูงปฏิเสธข่าว แต่ยอมรับว่ามีเบาะแสพบสัญญาณโทรศัพท์ 3 ครั้ง โทรกลับมาไทย และคาดว่าอาจหนีไปยังบ้านเกาะพงสัก จังหวัดบันเตียเมียนเจย ห่างจากปอยเปตราว 60 กิโลเมตร
ผบ.ตร.กำชับให้เร่งติดตาม “เสี่ยอ้วน” มาดำเนินคดี พร้อมจัดชุดดรีมทีมเข้าชี้พิกัดกบดาน หวังสางคดีให้เร็วที่สุด พร้อมเผย “เสี่ยอ้วน” ที่หนีคดี มีจุดจบ 2 ทางเท่านั้น
ในวันเดียวกัน ตำรวจคุมตัว “บ่าว” ไปชี้จุดและทำแผนฯ โดยสารภาพสิ้นได้ค่าจ้าง 50,000 บาท และ “เสี่ยอ้วน” เป็นคนลงมือยิงก่อน จากนั้นจึงเหนี่ยวไกตาม เพื่อสังหารผู้ตาย
ชุดสืบสวนฯ ทำงานในทางลับร่วม 1 สัปดาห์เต็ม จนสามารถสนธิกำลังหลายฝ่ายจับกุมตัว “เสี่ยอ้วน” ได้สำเร็จ ขณะกำลังหลบหนีจากกัมพูชาไปยังเวียดนาม หลังจากซ่อนตัวอย่างยากลำบากในกัมพูชามาเกือบครึ่งเดือน แต่ท้ายสุดกลับไปไม่รอด ก่อนจะนำตัวกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายในไทย. – สำนักข่าวไทย