สุรินทร์ 25 มิ.ย. – คปภ.ปลื้มยอดประกันภัยข้าวนาปี 61 แค่ 2 เดือนทะลุ 27 ล้านไร่ คุ้มครองชาวนาเกือบ 2 ล้านราย
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 คปภ.ได้เร่งขับเคลื่อนโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers)” ประจำปี 2561 ทันที จากการกำหนดพื้นที่กลุ่มเป้าหมายไว้ 10 จังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะนี้ดำเนินโครงการแล้ว 8 จังหวัด โดยมีจังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่ 9 ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับจากเกษตรกรชาวนาไทยอย่างดี
นายสุทธิพล กล่าวว่า จากตัวเลขการรับประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร (ธ.ก.ส.) ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2561 (ยังไม่ปิดการขาย) พบว่ามีเกษตรกรทั้งที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. และเกษตรกรทั่วไปทำประกันภัยข้าวนาปีกว่า 1.90 ล้านราย พื้นที่เอาประกันภัยถึง 27.24 ล้านไร่ คิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของพื้นที่เป้าหมาย เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 2,451 ล้านบาท
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 24 – 25 มิถุนายน 2561 คปภ.ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะตลอดจนให้ความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปีแก่เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ โดยมีการศึกษาดูงานและเยี่ยมชมโรงเรียนชาวนา โครงการเกษตรอทิตยาทร ซแรย์ อ.เมืองสุรินทร์ และพบปะเกษตรกรเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกันภัยข้าวนาปีที่อำเภอรัตนบุรี ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังจำนวนมากกว่า 300 คน รวมทั้งจากการรายงานข้อมูลของ คปภ.จังหวัดสุรินทร์ พบว่าปี 2560 สุรินทร์มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีมากเป็นลำดับ 4 ของประเทศ พื้นที่ปลูกข้าวถึง 2.88 ล้านไร่ และเอาประกันภัยข้าวนาปี 1.65 ล้านไร่ ถือเป็นจังหวัดที่มีอัตราการทำประกันภัยข้าวนาปีสูงสุดในประเทศถึงร้อยละ 57.38 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดในจังหวัด ซึ่งปีที่ผ่านมาจังหวัดสุรินทร์ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติค่อนข้างบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นกรณีอุทกภัย โดยมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว 36 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยสุทธิ 134.47 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ประสบภัยเป็นประจำได้แก่ อำเภอเมืองสุรินทร์ อำเภอศรีณรงค์ อำเภอสังขะ อำเภอท่าตูม อำเภอชุมพลบุรี และอำเภอรัตนบุรี ซึ่ง คปภ.จะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากการลงพื้นที่ครั้งนี้มาปรับปรุงพัฒนา เพื่อให้การประกันภัยมีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรไทยต่อไป.-สำนักข่าวไทย