กรุงเทพฯ 27พ.ค.- ตำรวจเสนอศาลออกหมายจับ 2 คนร้ายร่วมกันลักทรัพย์บ้านที่ปรึกษาธุรกิจบริษัทยักษ์ใหญ่ชาวสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ได้มูลค่าไปกว่า 12 ล้านบาท พร้อมส่งเรื่องให้กองการต่างประเทศ ตร.ช่วยประสานให้ประเทศปลายทางติดตามจับกุม
พลตำรวจตรีนิตินันท์ เพชรบรม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยความคืบหน้าคดีคนร้ายก่อเหตุงัดตู้เซฟภายในบ้านของชาวสาธารณรัฐหมู่เกาะ มาร์แชลล์ ย่านซอยโยธินพัฒนา แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ได้ทรัพย์สินเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์ 28 เรือน และทองคำ 2 กิโลกรัม มูลค่ารวมกว่า 12 ล้านบาทว่า ขณะนี้ตำรวจได้สอบปากคำคนขับรถแท็กซี่ที่พาผู้ต้องสงสัย ไปส่งที่บ้านหลังดังกล่าว ทราบว่าผู้ต้องสงสัย 2 คนเรียกแท็กซี่จากบริเวณวัดเทพลีลา เมื่อแท็กซี่จอดรับ ผู้ต้องสงสัยได้ยื่นโทรศัพท์ให้กับคนขับแท็กซี่ คุยกับคนปลายสายโทรศัพท์เพื่อแจ้งว่าจะไปที่ใด และจะทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ในรถแท็กซี่ เพื่อจะโทรให้มารับหลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้กลับไปส่งที่ย่านทาวน์อินทาวน์ โดยเสียงปลายสายคนขับรถแท็กซี่ตั้งข้อสังเกตุเสียงคล้ายชาวจีนที่สามารถพูดไทยได้
เมื่อตำรวจย้อนเส้นทางของผู้ต้องสงสัยกลับไปที่จุดที่คนขับแท็กซี่รับขึ้นรถ ก็พบว่าผู้ต้องสงสัยได้เข้าพักที่โรงแรมใกล้ๆ และเมื่อตรวจสอบชื่อผู้เข้าพัก ก็พบว่าเป็นชาวเอเชีย ยังไม่ทราบสัญชาติแน่ชัด โดยหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้เดินทางออกนอก ประเทศไปแล้วในคืนวันเดียวกันหลังก่อเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับสำนัก งานตรวจคนเข้าเมือง และการท่าอากาศยาน เพื่อดูว่าขณะที่ผู้ต้องสงสัยผ่านเครื่อง เอ็กซเรย์ก่อนออกนอกประเทศ ได้พกทรัพย์สินที่ขโมยไปติดตัวไปหรือไม่ รวมถึงได้ ประสานกับประเทศปลายทางที่ผู้ต้องสงสัยนั่งเครื่องไปลงแล้ว เพื่อขอตรวจสอบประวัติ ว่ามีหมายจับหรือเคยก่อเหตุในประเทศดังกล่าวหรือไม่
ส่วนผู้ต้องสงสัยอีก 1 คนที่ตำรวจเชื่อว่ายังอยู่ภายในประเทศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานให้คนขับรถแท็กซี่ยืนยันตัวบุคคลจากรูปภาพ ว่าใช่บุคคลเดียวกันหรือไม่ ส่วนผู้บงการที่คนขับรถแท็กซี่ได้ยินเพียงเสียงจากโทรศัพท์นั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบพิกัดของหมายเลขต้นทางที่โทรมา
ด้านพลตำรวจโทชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่าขณะนี้ทราบตัวคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ชาวสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ที่ปรึกษาธุรกิจบริษัทยักษ์ใหญ่แล้ว อยู่ระหว่างให้พนักงานสอบสวนขอศาลออกหมายจับ โดยเป็นการขอหมายจับโดยระบุชื่อตัวบุคคล1ราย และออกหมายจับตามภาพจากวงจรปิดอีก 1 ราย จากข้อมูลยังพบว่าหลังก่อเหตุคนร้ายทั้ง2คนได้เดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนขึ้นเครื่องไปต่างประเทศ เชื่อว่าปลายทางคือประเทศจีน โดยหลังจากหมายจับออกก็จะต้องส่งเรื่องไปยัง กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ ตามขั้นตอน ยืนยันว่าไม่หนักใจที่คนร้ายหนีไปต่างประเทศ มั่นใจว่าจะสามารถนำตัวมาดำเนินคดีได้
ขณะที่คนขับแท็กซี่นั้น เบื้องต้นตำรวจกันไว้เป็นพยาน เนื่องจากเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และอยู่ระหว่างขยายผลว่ายังมีคนร้ายร่วมก่อเหตุมากกว่า2คนหรือไม่.-สำนักข่าวไทย