กรุงเทพฯ 16 เม.ย. – บีซีพีจีลงทุนต่อเนื่อง ปรับทัพรับ Digital Energy พันธมิตรแข็งแกร่ง พร้อมรุกทั้งในและนอกประเทศ
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ มั่นใจว่า ในปี 2561 นี้ จะยังเติบโตต่อเนื่อง การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามแผน ได้เตรียมความพร้อมด้วยการปรับเปลี่ยนองค์กรรับ Digital Energy แย้มน่าจะมีข่าวดีด้านการลงทุนต่างประเทศเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ หลังจากไตรมาสแรกของปี 2561 ผ่านไป บริษัทก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจไปตามแผนที่ตั้งไว้เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าสู่การทำธุรกิจกับลูกค้ารายย่อยที่มีศักยภาพพร้อมลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปผลิตไฟใช้เองในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่การลงทุนออกในต่างประเทศก็ยังมีโครงการใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาให้พิจารณาโดยตลอด
จากเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ในปีนี้ประมาณ 130-150 เมกะวัตต์นั้น บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจด้วยการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) และสร้างโรงไฟฟ้าขายเข้าระบบหรือการลงทุนในธุรกิจแบบ Wholesale ประมาณ 100 เมกะวัตต์ มีเป้าหมายหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ส่วนที่เหลือจะมาจากการทำธุรกิจแบบ Retail หรือการทำตลาดกับผู้บริโภคโดยตรงร่วมกับพันธมิตรหลากหลายองค์กร ด้วยการนำนวัตกรรมทันสมัยมาใช้ในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป โดยโครงการพัฒนา Smart Community ร่วมกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้นแบบ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณช่วงต้นไตรมาส 3 ของปีนี้ ในขณะที่โครงการโซลาร์รูฟท็อปสถานีบริการน้ำมันบางจาก คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปีนี้ราว 20-30 แห่ง และยังมองโอกาสดำเนินการในพื้นที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม โรงเรียน เป็นต้น
“บีซีพีจีมีพาวเวอร์เล็ดเจอร์จากออสเตรเลียเป็นพันธมิตรในการนำเทคโนโลยี blockchain มาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้า เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่เพียงแต่ซื้อขายไฟฟ้าทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เราจะทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการจัดการไฟฟ้าให้ตอบสนองต่อความต้องการการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาของผู้ใช้แต่ละราย เรามีโครงการที่ทำร่วมกับแสนสิริเป็นโครงการต้นแบบ และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ลงนามใน MOU กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีเป้าหมายหลักในการนำนวัตกรรมนำสมัยไปใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้กับลูกค้าของแต่ละหน่วยงาน นอกจากนี้ เรายังมีการเจรจากับผู้ประกอบการหลายรายขนานกันไป เพื่อนำนวัตกรรมมาช่วยให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นผลดีต่อประเทศชาติในภาพรวม” นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับ โครงการของบริษัทฯ ในปัจจุบันที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ก็ยังเป็นไปตามแผน โดยโครงการโกเต็มบะ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นล่าสุดของบีซีพีจี ตั้งอยู่ที่เมืองโกเต็มบะ (Gotemba) จังหวัดชิซูโอกะ (Shizuoka) ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 90 กิโลเมตร จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์จำหน่ายไฟฟ้าในราคา 32 เยนต่อ kWh ในวันที่ 16 เมษายน 2561 ทั้งนี้ โครงการโกเต็มบะซึ่งมีกำลังการผลิต 4.5 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการด้วยการขายไฟฟ้าในราคาขายส่ง 6.8 เยนต่อ kWh มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2560 ในขณะที่โครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ กำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ ก็จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ประมาณกลางปีนี้
“บีซีพีจีเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ก้าวเร็ว เพียงไม่ถึง 2 ปีหลังจากการก่อตั้งเราก็สามารถเติบโตในแง่ของเมกะวัตต์เทียบเท่า 1,000 เมกะวัตต์พลังงานแสงอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว ในวันนี้เรามีธุรกิจผลิตไฟฟ้าจาก 3 เทคโนโลยีใน 4 ประเทศ ขณะนี้เรากำลังเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนด้วยการนำนวัตกรรมล้ำสมัยมาใช้ ในขณะที่องค์กรของเราเองก็มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ Digital Energy ด้วยการปรับองค์กรและสรรหาบุคลากรที่เหมาะสมมาร่วมงาน อย่างไรก็ดี เราก็ยังไม่ละทิ้งการสร้างฐานผ่านการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมาก็มีการพิจารณาอยู่หลายโครงการ ถ้ามีความคืบหน้าที่สามารถเปิดเผยได้ จะรีบมาแจ้งข่าวดีให้ทราบทันที” นายบัณฑิตกล่าว . – สำนักข่าวไทย