เสียมราฐ 5 เม.ย.- ไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง บริหารจัดการทรัพยากรน้ำและทรัพยากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขงให้มีความมั่งคั่งและยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 แบบเต็มคณะ (Plenary) ณ ห้องบอลรูม 2 สกขารีสอร์ท แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ (Sokha Siem Reap Resort & Convention Center)
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุม ว่า นายกรัฐมนตรี เสนอแนวคิด 3 ประการ ต่อประเด็นที่ท้าทายการพัฒนาความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในอนาคต คือ 1. นโยบายด้านความร่วมมือในการพัฒนาภูมิภาคแม่น้ำโขง ประเทศไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อพัฒนาภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีความยั่งยืน โดยน้อมนำปรัชญาและหลักการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา เป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงาน
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยังจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะยาวที่ครอบคลุมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับน้ำในทุกมิติให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศตลอดจนเป้าหมายของ วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2030 โดยการบูรณาการการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมเรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วม และน้ำเสียทั้งระบบ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับ
พล.ท.วีรชน กล่าวว่า 2. การดำเนินความพยายามในการผลักดันให้แม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำแห่งความมั่งคั่ง เชื่อมโยง และยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของลุ่มน้ำ จากโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขง การพัฒนาทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง จึงต้องยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาสมดุลระหว่างระบบนิเวศทางธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน นอกจากนี้ยังหวังว่าจะมีการบูรณาการกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ในภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำอย่างแท้จริง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 3 .การพัฒนาบทบาทของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง นายกรัฐมนตรี ขอให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง มุ่งเน้นนำผลการศึกษาและองค์ความรู้ แปลงสู่แผนการดำเนินงานที่ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้และข้อมูลในอนุภูมิภาคต่อไป.-สำนักข่าวไทย