จ.นนทบุรี 7 ธ.ค.-ดีเอสไอ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบเตือนตอนเซ็นสัญญากู้ต้องลงยอดเงินทุกครั้ง อย่าวางใจนายทุน พร้อมเสนอแนวทางแก้กฎหมายขายฝากหลายประเด็น
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เปิดโครงการประชุมเชิงสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพิ่มศักยภาพประชาชนด้านกฎหมาย สู่ชุมชนต้นแบบเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า หนี้นอกระบบเป็นปัญหาใหญ่ที่ มีความรุนแรงทั่วทุกภาค ในกรุงเทพฯและชุมชนเมืองจะมีปัญหาการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราและการทวงหนี้ของแก๊งหมวกกันน็อก ที่ใช้วิธีการรุนแรง โดยปัญหาหนี้นอกระบบหนักที่สุดอยู่ในภาคอีสานซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากประชาชนในภาคเกษตรกรรม ที่กู้เงินมาลงทุนหวังจะขายพืชผลเพื่อใช้หนี้แต่เมื่อเกิดปัญหาภัยธรรมชาติไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจึงถูกยึดบ้านและที่ทำกิน ในการแก้ปัญหาของดีเอสไอได้ใช้รูปแบบ ขอนแก่นโมเดล เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นหนี้นอกระบบ ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยร่วมมือกับกรมสรรพากรประเมินภาษีนายทุนเงินกู้นอกระบบไม่มีรายได้แต่ไม่เคยชำระภาษีเลยเป็นภาระค่าภาษีกว่า 200 ล้านบาท จนนายทุนต้องยอมมาเจรจากับลูกหนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมศึกษาข้อบกพร่องของกฎหมายขายฝาก เพื่อ ช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่พบปัญหาลูกหนี้ถูกบังคับให้ลงชื่อในสัญญาขายฝากที่เป็นเพียงกระดาษเปล่า ทำให้ถึงเวลานำเงินมาชำระหนี้ มีเงินไม่เพียงพอ ที่จะไถ่ถอน เพราะนายทุน ใส่ยอดเงินที่มากกว่าเงินกู้ยืมจริง ควบคู่กับการดำเนินมาตรการของรัฐบาลที่พยายามดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกสินเชื่อรายย่อยจังหวัด “พิโคไฟแนนซ์” วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ให้ความรู้ประชาชน สร้างอาชีพให้มีรายได้เพียงพอ เพื่อป้องกันการเป็นหนี้นอกระบบอย่างได้ผล
ทั้งนี้ ด้านกฎหมาย ได้แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 โดยให้มีบทลงโทษสำหรับผู้ปล่อยเงินกู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (ร้อยละ 15 ต่อปี) ให้มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท ด้านการบังคับใช้กฎหมาย หากเป็นกรณีเจ้าหนี้ผู้มีอิทธิพล รายใหญ่ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าไปสืบสวนสอบสวน และประสานกับกรมสรรพากรเมื่อดำเนินมาตรการทางภาษีอย่างเข้มข้นต่อไป.-สำนักข่าวไทย