1 พ.ค.68 วันแรงงานคึกคัก เดินแสดงพลังส่งสารยื่น 9 ข้อเรียกร้อง ขอรัฐทบทวนกฎหมาย ให้แรงงานทุกกลุ่มเข้าระบบประกันสังคม แก้ปัญหาซ้ำซากคุ้มครองสิทธิ ชี้ค่าจ้างต่ำไม่สอดคล้องยุคของแพง
แรงงานไทยทั่วประเทศร่วมกันเคลื่อนไหว เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568 กันอย่างคึกคัก มีการเดินขบวนแสดงพลังจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ถือป้ายเชิงสัญลักษณ์และข้อความที่สะท้อนการขับเคลื่อนและการเรียกร้องของผู้ใช้แรงงาน เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงาน เช่น จ่ายค่าจ้าง ลาคลอด 180 วัน
ขณะที่บรรยากาศลานคนเมือง บริเวณศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นายพนัส ไทยล้วน ประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ในประเด็นข้อเรียกร้องวันแรงงาน จำนวน 9 ข้อ ต่อรัฐบาล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยให้ดียิ่งขึ้น อาทิ เรื่องถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างทั้งชาวไทยและต่างชาติ การปิดกิจการไม่จ่ายค่าชดเชย หรือผ่อนชำระค่าชดเชย การทำงานในวันหยุดแต่ได้ค่าแรงเท่าเดียว การปรับเพิ่มค่าชราภาพมากขึ้น
ขณะที่สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย (สพร.ท.) เรียกร้องให้รัฐบาลยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้ก้อนสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้าง เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างในทุกกรณี ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ และให้พนักงานรัฐวิสาหกิจอยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และมีลักษณะการจ่ายเงินร่วม (Co-Payment) เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยอย่างเป็นธรรม
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับข้อร้องเรียน พร้อมกล่าวว่า กระทรวงฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งสะท้อนเสียงของพี่น้องแรงงานทั่วประเทศ ข้อเรียกร้องหลายข้อได้รับการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ยืนยันจะเดินหน้านโยบายเชิงรุก เพื่อดูแลแรงงานอย่างรอบด้าน ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยหลักการว่า “ทุกคนต้องมีงานทำ มีทักษะ มีหลักประกัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” เราขับเคลื่อนนโยบายแรงงานอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ
สำหรับ 9 ข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ
- ให้รัฐบาลเร่งรัดการรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง
- ให้รัฐบาลตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงให้มีการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง
- ให้รัฐบาลยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากเงินก้อนสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้าง เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างในทุกกรณี ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ในวงเงิน 1 ล้านบาท
- ให้พนักงานรัฐวิสาหกิจสามารถอยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และมีลักษณะการจ่ายเงินร่วม (co-payment) เพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง
- ให้รัฐบาลปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคม
5.1 ปรับฐานการรับเงินบำนาญ ให้มีรายรับไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
5.2 กรณีที่ผู้ประกันตนเกษียณอายุ และรับเงินบำนาญแล้ว เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้มีสิทธิรับเงินบำนาญต่อไป
5.3 ในกรณีผู้ประกันตนพ้นสภาพจากมาตรา 33 และสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 การคิดคำนวณเงินบำนาญขอให้ใช้ฐานค่าจ้างจากมาตรา 33
5.4 เมื่อผู้ประกันตนรับบำนาญแล้ว ให้คงสิทธิรักษาพยาบาลตลอดชีวิต
5.5 กรณีผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรงและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งทุกชนิด ให้ครอบคลุมถึงการใช้ยารักษาพยาบาลตามที่แพทย์แนะนำ
5.6 ขยายอายุผู้เริ่มเข้าเป็นผู้ประกันตน จากเดิม 15-60 ปี เป็น 15-70 ปี เพื่อให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุ - ให้รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ดำเนินการให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างเหมาค่าแรง ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ม.11/1 อย่างเคร่งครัด
- ให้รัฐบาลยกระดับกองความปลอดภัยแรงงาน เป็นกรมความปลอดภัยแรงงาน
- ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2541 กฎกระทรวงฉบับที่ 8 ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2541 และกฎกระทรวงฉบับที่ 13 ลงวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2543 ซึ่งทั้ง 3 ฉบับ ออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีข้อความตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลาไม่ให้ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่า เช่นเดียวกับพนักงานรายวัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบ และรับว่าจะดำเนินการแก้ไขมาก่อนแล้ว
- ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่งตั้งคณะทำงานติดตามข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2568
ภาพ : ชำนาญวุฒิ สุขุมวานิช















