กรุงเทพฯ 3 ต.ค. – สคร. เผย
ช่วยดันสินทรัพย์รัฐวิสาหกิจไทยโต 3 เท่าภายใน 15 ปี
พร้อมเดินหน้าสานต่อการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นายเอกนิติ
นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน 15 ปี ของ สคร.
ได้มีส่วนในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศพร้อมกับการกำกับการดำเนินงานด้วย
ธรรมาภิบาล ผ่านภารกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านรัฐวิสาหกิจ ด้านหลักทรัพย์ของรัฐ และด้านการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(PPP) ซึ่งได้มีการจัดตั้ง PPP Fast Track ที่ช่วยทำให้โครงการก่อสร้างพื้นฐานภาครัฐ
ทำได้รวดเร็ว และมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น
โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมาสามารถขับเคลื่อนโครงการได้ 340,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย
หรือ Thailand Future Fund เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกให้แก่ภาครัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
อีกทั้งยังได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ
ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในรัฐวิสาหกิจนั้นๆ
ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว /
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 15 ปีที่ผ่านมา ของ
สคร. ส่งผลให้สินทรัพย์รัฐวิสาหกิจรวม จากปี 2546 มีมูลค่า 4.3 ล้านล้านบาท
มาอยู่ที่ 15
ล้านล้านบาทในปี
2560 หรือคิดเป็นประมาณ 3 เท่าตัว
ขณะที่หลักทรัพย์ของรัฐ เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2546 ที่ 300,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1.15 ล้านล้านบาทในปี
2560 และด้านการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน
ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 3.35 แสนล้านบาท
ขณะที่ แผนยุทธศาสตร์ปีงบประมาณ 2561
ได้ตั้งเป้าที่จะดูแลงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ให้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถขยายตัวได้ร้อยละ 20 สูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2
ขยายตัวได้ ร้อย 3.7
ส่วนหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ในขณะนี้
จำนวน 109 หลักทรัพย์
จะทำแผนยุทธศาสตร์ บริหารจัดการหลักทรัพย์ให้เเล้วเสร็จ ภายใน ไตรมาส 1 ปีหน้า
โดยเฉพาะการทำแผนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่จำเป็นต่อยุทธศาสตร์ของประเทศ
ในจำนวนมูลค่ากว่า 370,000 ล้านบาท อาทิ การขายหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ภาครัฐดำเนินการยึดมาได้
โดยจะต้องทบทวนวิธีการขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสม
สำหรับกรอบแนวคิดในการจัดแผนยุทธศาสตร์ PPP โดยมีมูลค่าโครงการลงทุนรวม 1.62 ล้านล้านบาท สำหรับ 55 โครงการลงทุน โครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะของกระทรวงคมนาคม
ประมาณร้อยละ 94 อาทิ โครงการท่าเรือสาธารณะ
โครงการขนส่งทางรางภายในประเทศ โครงการลงทุนถนน รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ซึ่งได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว 16 โครงการ คาดว่า ในปี 2561 จะสามารถดำเนินโครงการได้สำเร็จ 4 โครงการ โดยประเมินว่าในปี 2563-2564
จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบประมาณร้อยละ 40 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์นี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติ
(พ.ร.บ.) การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ คาดว่าจะนำเสนอ ครม.
พิจารณาได้ภายในเดือนธันวาคม 2560.-สำนักข่าวไทย