กรุงเทพฯ 6 พ.ย. – ก.ล.ต. เปิด“สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” รับแจ้งเบาะแสหลอกลวงในตลาดทุนจากประชาชนโดยตรง ผนึกกำลังพันธมิตรตลาดทุนร่วมแจ้งเบาะแส มุ่งเป้าเร่งปิดบัญชีม้า ปิดกั้นมิจฉาชีพทางสื่อออนไลน์ ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าปัจจุบันมีประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกให้ลงทุนผ่านรูปแบบและช่องทางใหม่ ๆ โดยเฉพาะแนวโน้มของการหลอกลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิจฉาชีพมักใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการหลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การโฆษณาชวนเชื่อให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีอยู่จริง ล่อลวงด้วยการเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง หรือการแอบอ้างใช้ภาพ และ/หรือชื่อ ของผู้บริหารของหน่วยงานในตลาดทุนมาชักชวนให้ลงทุน เป็นต้น
ก.ล.ต. จึงเปิดให้มีช่องทาง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” เพื่อให้เป็นช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการหลอกลงทุนโดยตรง โทร 1207 กด 22 หรือแจ้งผ่านระบบรับแจ้งบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. (www.sec.or.th/scamalert) หรืออีเมลscamalert@sec.or.th โดย ก.ล.ต. จะเร่งดำเนินการตรวจสอบเบาะแสที่ได้รับและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นเนื้อหาหรือช่องทางการหลอกลงทุน โดยจะประสานกับ Meta (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram รวมทั้งประสาน LINE (ประเทศไทย) เพื่อปิดกั้นช่องทางของมิจฉาชีพในแพลตฟอร์มดังกล่าวโดยเร็วเพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและจำกัดความเสียหายไม่ให้กระจายออกไปสู่วงกว้าง
ทั้งนี้ การเปิดช่องทาง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ก.ล.ต. ได้ดำเนินการต่อเนื่องจากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในหน่วยงานพันธมิตร ภายใต้โครงการร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมีจุดประสงค์ในการประสานความร่วมมือระหว่างกันเพื่อต่อต้านมิจฉาชีพ ผ่านการจัดทำและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เตือนภัยหลอกลงทุนในช่องทางต่าง ๆ ของ ก.ล.ต. และสื่อมวลชน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ช่วยประชาสัมพันธ์เตือนภัยด้วยดี รวมทั้งยังประสานความร่วมมือกับศูนย์ Anti Online Scam Operation Center (AOC) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกด้วย
นางอำไพ จิตรแจ่มใส ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เปิดตัวศูนย์Anti Online Scam Operation Center หรือศูนย์ AOC เพื่อเป็นศูนย์ในการบูรณาการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายที่จะปิดบัญชีม้าหรือ บัญชีเงินฝากที่คนร้ายใช้รับเงินให้ได้โดยไว เพื่อระงับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และพร้อมให้ความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับ ก.ล.ต.
นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า การเปิดช่องทาง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ของ ก.ล.ต. นั้น สอดรับกับการเปิดศูนย์ AOC 1441 ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้มีการบูรณาการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ให้บริการแบบ one stop service แก่ประชาชน รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยออนไลน์ โดยมีเป้าหมายในการระงับและอายัดบัญชีของคนร้ายให้ทันท่วงทีรวมทั้งผู้เสียหายยังสามารถติดตามสถานะการแก้ไขปัญหาได้ในทุกขั้นตอน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า การเปิดสายด่วนแจ้งหลอกลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสะกัดกั้นการหลอกลวงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภาคธุรกิจในตลาดทุนพร้อมให้ความร่วมมือกับ ก.ล.ต. โดยจะร่วมแจ้งเบาะแสทันทีเมื่อพบการแอบอ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากการถูกหลอกลงทุน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวในฐานะผู้ร่วมริเริ่มโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” กับพันธมิตรว่า ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรได้บูรณาการความร่วมมือในหลายด้าน รวมทั้งสื่อสารเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง การที่ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน จัดให้มีสายด่วนแจ้งหลอกลงทุนจะเป็นช่องทางให้ประชาชน ผู้ลงทุน และองค์กรต่าง ๆ ร่วมกันแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนในตลาดทุน เพื่อตัดวงจรการหลอกลวงของมิจฉาชีพเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวอิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Meta ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลายภาคส่วนและขยายกรอบความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในหลาย ๆ เรื่องรวมถึงการรับมือปัญหาภัยหลอกลวงบนโลกออนไลน์ ทั้งทางด้านการรายงานเนื้อหาและการสร้างการตระหนักรู้และแคมเปญให้ความรู้เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้เท่าทันกลลวง ในโอกาสนี้ เรามีความยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับ ก.ล.ต. เพื่อร่วมกันรับมือกับปัญหาเร่งด่วนนี้ซึ่งเป็นปัญหาร่วมของอุตสาหกรรมและในสังคมยุคดิจิทัลปัจจุบัน
สำหรับสถิติการรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ต.ค. 2566 ก.ล.ต. ได้ดำเนินการเพื่อเป็นการป้องปรามอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ (1) ขึ้นเตือนบนหน้าเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ Investor Alert เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อ จำนวน 265 ราย (2) ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย(Anti-Fake News Center Thailand) กระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อออกข่าวแจ้งเตือนประชาชน จำนวน 90 กรณี (3) ด้านการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการหลอกลงทุนที่แอบอ้างชื่อ/โลโก้ หรือภาพผู้บริหารของ ก.ล.ต. มีจำนวน 10 กรณี (4) การดำเนินการส่งเรื่องให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายภายใต้พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 กรณีอ้างผลตอบแทนสูง จำนวน 163 ราย และ (5) ดำเนินการส่งเรื่องให้กระทรวงดิจิทัลฯ พิจารณาดำเนินการ จำนวน 85 กรณี
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอย้ำให้ประชาชนระมัดระวังเมื่อถูกชักชวนลงทุน หากมีข้อสงสัยว่าเป็นบุคคล ผลิตภัณฑ์ หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” เพื่อตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการต่อไปนอกจากนี้ยังตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองได้ทันทีที่ www.sec.or.th/seccheckfirst หรือติดตั้งแอปพลิเคชัน SEC Check First หรือติดต่อสอบถามข้อมูลที่สายด่วนได้เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในการหลอกลวงลงทุนในตลาดทุน.-สำนักข่าวไทย