ม.รังสิต 2 ก.ค.-สุริยะใสถาม 2 พรรคใหญ่ไม่เอาไพรมารีโหวต แล้วจะแก้ปัญหาแฟมิลี่โหวตอย่างไร เสียดายนักการเมืองทิ้งโอกาสกู้วิกฤติศรัทธาระบบตัวแทน
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย(สปท.) กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่บรรดาพรรคการเมืองโดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ประการศจุดยืนในนามพรรคค้านระบบไพรมารีโหวตหรือการเลือกตั้งชั้นต้นในร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง และไม่แปลกใจที่บรรดา ส.ส.ที่เคยออกมาสนับสนุนเงียบหายไป ซึ่งตอกย้ำวัฒนธรรมพรรคการเมืองแบบไทย ๆ ที่มีเจ้าของไม่กี่คน
นายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้อยแถลงของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนคล้าย ๆ กันคือการโจมตีจุดอ่อนของระบบไพรมารีโหวตล้วน ๆ แต่ไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อดีโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับระบบสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองในขณะนี้ที่ไม่เป็นระบบ ผูกขาดโดยเจ้าของพรรคไม่กี่คนและนายทุนพรรคทำให้คนขับรถคน คนติดตามหรือเครือญาดิใกล้ชิดเจ้าของพรรคสามารถเลือกพื้นที่ลงเลือกตั้งได้โดยไม่สนใจประชาชนในเขตนั้นว่าจะรู้สึกอย่างไร จนกลายเป็นระบบแฟมิลี่โหวต” นายสุริยะใส กล่าว
“อย่าลืมว่าวิกฤติศรัทธาต่อนักการเมืองที่รุนแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนและสังคมไม่ไว้วางใจนักการเมืองมากขึ้น จนกลายเป็นวิกฤติระบบตัวแทน เพราะผู้แทนหรือส.ส.ไม่ได้สะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนจริง ๆ ซึ่งระบบไพรมารีโหวตที่ปรากฎในร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง แม้มีปัญหาอยู่บ้าง แต่คณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สามารถปรับแก้เพื่อให้ปฎิบัติจริงได้ เช่น การกำหนดพื้นที่นำร่องการสนับสนุนทุนและทรัพยากรให้พรรคการเมือง หรือมีแผนริเริ่มที่ยืดหยุ่นในช่วงแรก ๆ แต่ถ้าจะตั้งธงค้านไม่เอาเลยในขณะที่ของเก่าก็ไม่ยอมรับว่ามีปัญหาอันนี้เราก็ไม่สามารถคาดหวังการปฏิรูปพรรคการเมืองได้เลย” ” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวว่า พรรคการเมืองมีสิทธิค้าน แต่ต้องมีทางออกให้ประชาชนที่คาดหวังและอยากเห็นการปฏิรูปพรรคการเมืองด้วย โดยเฉพาะการทำลายรื้อระบบแฟมิลี่โหวตและปรับตัวสู่พรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมมากขึ้น น่าเสียดายที่พรรคการเมืองกำลังจะทำลายโอกาสของตัวเองในครั้งนี้ และเชื่อว่าวิกฤติศรัทธาต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองยังเป็นสิ่งที่เราจะเผชิญต่อไป.-สำนักข่าวไทย