3 ก.ย.-“เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี ควง “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม ร่วมโต๊ะอาหารหารือว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ เพื่อประสานความร่วมมือขับเคลื่อนงานรัฐบาล
โดยนัดหารือเป็นการภายใน ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ คือ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบกและ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ
การนัดหารือกันในวันนี้ จะเน้นการรับฟังความคิดเห็น และ ข้อเสนอแนะกับทางกองทัพบกให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลและกองทัพ ก่อนนำมาบรรจุไว้ในนโยบาย ร่วมกับนโยบายของ 11 พรรคการเมืองและตามหมุดหมายรัฐบาลจะแถลงนโยบายในวันที่ 11 ก.ย.นี้
ส่วนตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งตามรายงานหนึ่งในนั้นมีชื่อของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมด้วย
หลังหารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว นายสุทิน คลังแสง มีกำหนดการเดินทางเข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาทิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอคำแนะนำในการทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แล้ว
โดยก่อนหน้านี้ได้เคยมีการพูดคุยกันในเรื่องการทำงานระหว่างรัฐบาลและกองทัพมาบ้าง โดยนายเศรษฐามีนโยบาย พร้อมจะทำงานกับกองทัพในฐานะรัฐบาลพลเรือน ส่วนในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ก็พร้อมสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว เพราะเข้าใจดีว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะปกป้องประเทศโดยเฉพาะตามแนวชายแดนต่างๆ และหากมีการเจรจาในเรื่องนี้จะขอให้ทางกองทัพนำเสนอสินค้าภายในประเทศไทยที่มี เพื่อแลกเปลี่ยนหรือไปจำหน่ายกับประเทศนั้นนั้น ในลักษณะการแลกเปลี่ยน ระหว่างกัน ซึ่งก็จะทำให้สินค้าที่เรามีอยู่สามารถมีช่องทางเพิ่มในทางการตลาดกับต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ในวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมาข้าราชการระดับสูงของกระทรวงได้เข้าพบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ อย่างไม่เป็นทางการ โดยอธิบดีแต่ละกรมฯ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ได้มีการรายงานหน้าที่ของแต่ละกรม ให้รับทราบว่ามีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง โดยหลังจากคณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณและรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย จะนัดประชุมเพื่อมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงพาณิชยอีกครั้งหนึ่ง โดยนายภูมิธรรม รมว.พานิชย์และรัฐมนตรีช่วย กำลังดูวันที่ชัดเจนว่าจะเข้ากระทรวงเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิภายในกระทรวงพาณิชย์วันไหนดี ระหว่างวันที่ 7 ก.ย.หรือสัปดาห์ถัดไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่จะเร่งดำเนินการเป็นอันดับแรก คือ ช่วยลดค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชนผ่านโครงการมหกรรมสินค้าราคาถูก และสิ่งที่จะลดต่อไป คือ ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยที่ผ่านมาแม้ต้นทุนต่างๆจะสูงขึ้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูว่า เมื่อต้นทุนค่าไฟฟ้าและน้ำมันลดลง ผู้ผลิตสามารถที่จะลดสินค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อีกหรือไม่ และกระทรวงพาณิชย์จะไปดูสถานทีจัดงานมหกรรมสินค้าราคาถูกทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมถึงในต่างจังหวัดใหญ่ๆ อีกด้วย
ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม คนใหม่ ได้ฤกษ์ดีเข้ากระทรวงคมนาคม วันที่ 7 ก.ย.นี้ เวลาดี เลขมงคล 09.00 น. ซึ่งในวันนั้น จะมีการ ประกาศพร้อมเดินหน้านโยบาย สำคัญ เช่น รถไฟฟ้า 20บาทตลอดสาย ขยายขีดความสามารถสนามบิน-เมกะโปรเจค เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยจะการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังรับตำแหน่งทันที
โดยนายสุริยะ เปิดเผยว่า พร้อมที่จะเข้าปฎิบัติงานทันที โดยนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น ถือเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเอาไว้ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ดังนั้นจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. กรมการขนส่งทางราง เพื่อดูแนวทางถึงแหล่งเงินรวมถึงวางกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ
นอกจากนั้นจะเร่งรัดการขยายขีดความสามารถของสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต รวมถึงสนามบินในภูมิภาคที่มีศักยภาพ ซึ่งการขยายขีดความสามารถของสนามบินแต่ละแห่งนั้นถือเป็นนโยบายหลักของ นายกรัฐมนตรี ที่จะเร่งรัดผลักดันเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยว ที่ขณะนี้กลับมาโตแบบก้าวกระโดด และยัง ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม นอกจากนี้จะเร่งผลักดันระบบการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น ทางบก ทางน้ำ และ ทางอากาศ ให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศและเปิดตลาดไปยังต่างประเทศให้สมบูรณ์มากขึ้น
ทั้งนี้ กรณี ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีการศึกษาตามกลุ่มเป้าหมายผู้เดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนทางราง ใน 2 กรณี คือ 1. กลุ่มประชาชนผู้ใช้บริการทั่วไป และ 2. กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ในกลุ่มประชาชนผู้ใช้บริการทั่วไป หากรัฐจัดเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย คาดว่าจะต้องใช้เงินอุดหนุนจากภาครัฐรวม 5,446 ล้านบาท/ปี ส่วน กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คาดว่าจะต้องใช้เงินจากภาครัฐอุดหนุน รวม 307.86 ล้านบาท/ปี
ไปดูทาร์มไลน์ ครม.เศรษฐา 1 กันหน่อย ภายหลังคณะรัฐมนตรี ได้รับการโปรดเกล้า นายเศรษฐา เตรียมนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ เย็นวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 17.00 น. หลังจากนั้นจะมีการหารือ ครม.นัดพิเศษ วันถัดไป ( 6 ก.ย.66 ) โ ดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย และ ว่าที่เลขาธิการนายกฯ ได้เรียกพรรคร่วมรัฐบาลเข้าพูดคุยหารือถึงการจัดทำเอกสารแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยมีการร่างนโยบายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการพูดคุย เป็นการพูดคุยนโนบายกว้างๆ ของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล จากนั้นจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 11 ก.ย.นี้ คาดว่าใช้เวลา 2 วัน.-สำนักข่าวไทย