ศูนย์ฯ สิริกิติ์ 29 มิ.ย. – ผู้บริหารสหพัฒน์มั่นใจกำลังซื้อครึ่งปีหลังดีขึ้น พร้อมตรึงราคาสินค้าตลอดปี ให้คะแนนรัฐบาล 8 เต็ม 10 พอใจผลงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้านประชาชนช้อปสินค้าสหพัฒน์ หวังลดค่าค่าใช้จ่าย
งานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 21 ภายใต้สโลแกนคนดี สินค้าดี สังคมดี = ไทยแลนด์ เบสต์ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2560 เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งงานดังกล่าวถือเป็นประจำปีที่เครือสหพัฒน์นำสินค้าอุปโภค บริโภค กว่า 1,000 คูหา เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องหนัง รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องกีฬา ของใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า มาจำหน่ายให้กับประชาชนในราคาย่อมเยา ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมาเลือกซื้อสินค้าจำนวนมาก เพื่อลดค่าครองชีพในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ( มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ กล่าวว่า เครือสหพัฒน์ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่าครึ่งปีแรกกำลังซื้อจะยังไม่ค่อยฟื้นตัว ประชาชนยังไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายสินค้ามากนัก เพราะประชาชนอยู่ในช่วงไว้อาลัย โดยคาดว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่แม้ว่าบางโครงการจะล่าช้าไปบ้าง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ทางเครือสหพัฒน์ยังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นราคาสินค้าปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตไม่ได้สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่มาก หากขึ้นราคาสินค้าก็จะมีผลต่อยอดขายได้ ซึ่งหากกำลังซื้อดีขึ้นก็จะส่งผลดีให้งานสหกรุ๊ปแฟร์คึกคัก โดยคาดการณ์ว่าจะมีประชาชนมาร่วมงานกว่า 1 ล้านคน และมีเงินสะพัดกว่า 300 ล้านบาท
นายบุญเกียรติ กล่าวว่า ผลงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี โดยให้คะแนน 8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 เพราะเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทำให้ผลการกระตุ้นเศรษฐกิจมีมากกว่าในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งรัดโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งทางเครือสหพัฒน์ให้ความสนใจที่จะลงทุนในอีอีซีเช่นกัน แต่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบ เนื่องจากเงินทุนของบริษัทส่วนใหญ่ใช้ในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และบริษัทยังให้ความสำคัญกับธุรกิจในประเทศไทยเป็นหลัก การลงทุนปัจจุบันจะพิจารณาความเสี่ยงรอบด้าน เพราะในอดีตเมื่อปี 2540 ภาคเอกชนเคยมีบทเรียนจากการขยายการลงทุนมากเกินไปจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ดังนั้น การลงทุนในอนาคตจะต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่มีเหตุซ้ำรอยอีก
นายบุญเกียรติ กล่าวด้วยว่า ปีนี้มีนักธุรกิจจากในประเทศและต่างประเทศแจ้งความจำนงเข้าร่วมงานกว่า 600 ราย ซึ่งมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยประเทศที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมาจากประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) รวมทั้งไต้หวันและจีน ซึ่งไต้หวันและจีนมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และปีนี้ในงานจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยร่วมมือกับด้านอี-คอมเมิร์ซกับ บริษัท ลาซาด้า ไทยแลนด์ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายทางออนไลน์ด้วย.- สำนักข่าวไทย