รัฐสภา 13 ก.ค.-“พิธา” แจงหลังถูกพาดพิง ย้ำคุณสมบัติครบ มีความชอบธรรมเป็นนายกฯ วอนอย่ามีศาลเตี้ยในสภาฯ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขอใช้สิทธิ์พาดพิง โดยขอบคุณสมาชิกที่อภิปรายสอบถามหลายเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติ ในฐานะผู้ที่ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ที่ติติงบุคลิกและวุฒิภาวะของตน ซึ่งตนพยายามปรับปรุงและฟังมากกว่าพูด พัฒนาภาวะผู้นำของตน รวมถึงรักษาคำพูดเหมือนสโลแกนที่ว่า พูดแล้วทำเหมือนพรรคการเมืองที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี สังกัดอยู่ ดังนั้น สัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนอย่างไรก็ต้องทำตามอย่างนั้น และตนพยายามพัฒนาคุณลักษณะความเป็นผู้นำของตัวเอง แม้ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่นายชาดาพูด แต่ก็ถือว่ามีเสรีในการพูด
“นี่คือหน้าที่ของสภาฯ ซึ่งนายชาดามีความคิดและประสบการณ์แบบหนึ่ง ขณะที่ผมก็มีความคิดและชุดประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ใช้รัฐสภาในการแก้กฎหมายและข้อขัดแย้งตลอดตลอดมาของประเทศไทย แต่เวทีนี้เป็นเวทีเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เวทีแก้ไขกฎหมายใด ๆ จึงคิดว่าตรงนี้เป็นบรรยากาศที่ดี แต่สุดท้ายผู้นำประเทศต้องมีความอดทน อดกลั้น รับฟังข้อกล่าวหาที่จริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ นี่คือสิ่งที่ผมสัญญาผ่านประธานไปยังเพื่อนสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ผู้นำของประเทศไทยควรจะมี” นายพิธา กล่าว
นายพิธา แสดงความเห็นด้วยกับนายชาดาว่าการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ได้อยู่ใน MOU ที่ทำร่วมกันใน 8 พรรค เพราะ MOU คือความเข้าใจของพวกเราในการจัดตั้งรัฐบาล ในการเข้าสู่อำนาจ ในการบริหารประเทศ แต่การแก้ไขกฎหมายอยู่ที่สภา และเมื่อเรายื่นเสนอแก้กฎหมาย ก็ไม่มีใครผูกขาดชุดความคิดใดชุดความคิดหนึ่งคนที่อายุมากกว่าคิดแบบหนึ่ง คนรุ่นเดียวกับตนก็คิดแบบหนึ่ง คนที่อายุน้อยกว่าตนก็คิดอีกแบบหนึ่ง นี่คือหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรในการแก้ไขข้อขัดแย้ง และถ้าเราพูดกันอย่างมีวุฒิภาวะ ไม่มีคำหยาบคาย ใช้เหตุใช้ผลกัน นี่คือทางออกของประเทศ
“ผมขอยืนยันผ่านไปยังสมาชิกรัฐสภารัฐสภา 750 คน ที่มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรี ผมมีคุณสมบัติสมบูรณ์แบบทุกประการและชอบธรรม แม้ว่าจะมีกระบวนการทางคดีเกิดขึ้น แต่ผมยังไม่รู้ว่าข้อกล่าวหาคืออะไร เห็นแต่มติผ่านสื่อมวลชน และยังไม่ทราบว่าสงสัยในประเด็นใด ขอให้ยึดหลักการสมมุติฐานไว้ว่า “บริสุทธิ์ไว้ก่อน” เพราะผมยังไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงแม้แต่ครั้งเดียว และเข้าใจว่าบุคคลที่อยู่ในแวดวงกฎหมายและทนายน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี จะมีศาลเตี้ยในรัฐสภานี้ไม่ได้ และเมื่อปี 2562 ก็มีลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ไม่กระทบกับการเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ใช่หรือ เพราะถ้าจำไม่ผิดท่านบอกว่าท่านบอกว่ารัฐบาลที่รวมเสียงข้างมาก ที่รวมแสงได้มากที่สุดก็จะออกมา 249 เสียงตามนั้น ไม่มีแตกแถว จึงไม่ต้องกังวล เพราะผมมีความรัดกุมในการยื่นบัญชัทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. และสอบถาม ตลอดเรื่องคุณสมบัติกับกกต.และป.ป.ช.ทุกครั้งตั้งแต่เป็นส.ส.ครั้งแรก ครั้งนี้ และครั้งต่อไป เพราะผมยอมรับการตรวจสอบ ยังดีกว่าบางคนที่ไม่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบไม่ว่าจะป.ป.ช.หรือกกต.” นายพิธา กล่าว.-สำนักข่าวไทย