พิษณุโลก 30 มิ.ย.- “ปดิพัทธ์” พร้อมทำงานตรวจสอบสมาชิกในสภา ยันทำงานเป็นกลาง ไม่ห่วงคุม ส.ว. ไม่ได้ บอกทำงานได้ดี ต้องแยกเรื่องการทำงานกับที่มา ส.ว. ไม่กังวล ก้าวไกลพลิกขั้วเป็นฝ่ายค้าน มองรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่สามารถบริหารประเทศเดินหน้าได้
30 มิ.ย.2566 ภายหลังการปราศรัยขอบคุณประชาชนชาวพิษณุโลก นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลกเขต 1 พรรคก้าวไกลในฐานะแคนดิเดตประธานสภาของพรรค ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นหากเข้าไปทำหน้าที่ประธานสภาสิ่งที่ปราศรัยกับประชาชนว่าจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงนั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า สิ่งแรกจะต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งแรก คือสภาที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมมากกว่าทุกวันนี้ เราอยากเห็นกฏหมายของประชาชน และ ส.ส. ได้เข้าสู่กระบวนการสภา ไม่ใช่สภาที่คอยออกกฏหมายของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ต้องการเห็นพื้นที่ของสภา เป็นพื้นที่ของประชาชนและสื่อมวลชนเข้าไป ใช้งานและทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้จะพัฒนาระบบสภาให้เชื่อมโยงเป็นระบบดิจิทัล สามารถเชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ อาทิ การแปลกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแค่ยกตัวอย่างเรื่องเดียวก็แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการประธานสภาที่เข้าไปควบคุมองค์ประชุมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการประธานสภาที่เข้าไปบริหารงานสภา ซึ่งงบประมาณหลายพันล้านบาทเข้ากระทรวงหนึ่งกระทรวง ถ้าการออกกฏหมายไม่ดีพอ และการประชุมไม่มีประสิทธิภาพพอ รัฐบาลก็จะไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งนี่เป็นวิสัยทัศน์สำคัญของพรรคก้าวไกลที่จะส่งตัวเองเข้าไป เป็นตัวแทนที่ไม่ใช่ตัวแทนของพรรคก้าวไกลพรรคเดียวแต่เป็นตัวกลางที่มีประสิทธิภาพ นำไปเปลี่ยนแปลงรัฐสภา
ส่วนประเด็นปัญหาที่ก่อนหน้านี้มี ส.ส. ที่เข้าประชุมบ้างขาดประชุมบ้าง จะจัดการอย่างไรนั้น นายปดิพัทธ์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ก็มี ส.ส. ที่เกรงใจประชาชน ฉะนั้นเราจะสร้างการตรวจสอบภาคประชาชน ให้ได้มากที่สุดและเป็นการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอการรายงานประจำปี และหากมองในเรื่องของอายุ ต้องดูว่ามองจากมุมมองใด ตัวเองอายุ 42 ปี ยังมี ส.ส. บางคนอายุ 27 ปี น้อยกว่าตัวเอง ซึ่งวัย 40 กว่ามองว่าเป็นตัวกลางที่จะสามารถประสานได้ทุกวัย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมามีการกล่าวโจมตี ส.ว. อยู่ตลอด จะเป็นอุปสรรคในการควบคุมองค์ประชุมหรือไม่ นายปดิพัทธ์ บอกว่า เท่าที่ได้ทำงานร่วมกับ ส.ว. มีคนที่ ทำงานร่วมกันได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในคณะกรรมาธิการฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง แก้ไขกฎหมายการศึกษา ทุกคนล้วนทำงานกับตัวเองได้ดีแต่ในเรื่องของการเมืองต้องแยกออกจากกัน เพราะเรารู้ที่มาของท่าน แต่หากพูดด้วยเหตุผล สร้างการประชุม พี่ทุกท่านเหลือวาระเพียง 1 ปี ควรทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงคิดว่าสามารถร่วมงานกันได้
ส่วนกระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทยยอมถอยคิดว่าเป็นการปล่อยข่าวออกมาต้องการที่จะหวังผลบางอย่างหรือไม่ นายปดิพัทธ์ บอกว่า เป็นข่าวลือ ระบุว่า มีที่มาจากแหล่งข่าว เพราะฉะนั้นจะรอเฉพาะการประชุมจากคณะเจรจาและต้องออกจากเลขาธิการพรรค ในวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคมนี้เท่านั้น ยืนยันว่าตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาและมีเวลามากพอ
ส่วนมีความกังวลในเรื่องที่สมาชิกจะฟรีโหวตหรือไม่ นายปดิพัทธ์ บอกว่า สมาชิกทุกคนมีเอกสิทธิ์อยู่แล้วแต่สิ่งที่ประชาชนไม่อยากเห็นคือรอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลฉะนั้นเรื่องฟรีโหวตไม่ได้เป็นเรื่องของตน จะได้เป็นประธานหรือไม่ แต่ฟรีโหวตสะท้อนถึงเอกภาพในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งมีความสำคัญมากกว่า
ขณะที่มีความกังวลหรือไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกพลิกขั้วไปเป็นฝ่ายค้าน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายปดิพัทธ์ บอกว่า ด้วยอิทธิฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 อำนาจ ที่มาจากการเลือกตั้งมีน้อยอยู่แล้ว แต่หากเราคำนวณโดยการสมมุติตัวเองเป็นเขา และตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็จะไม่สามารถบริหารประเทศได้ ถ้าจะทำให้ เป็นรัฐบาลเพียงไม่กี่เดือนและทนเสียงกร่นด่าจากทั่วประเทศ และ บริหารงานล้มเหลวส่วนตัวมองว่าไม่มีความคุ้มค่าเลย .-สำนักข่าวไทย