ก.คมนาคม เด้งตั้งสอบ “ส่วยสติกเกอร์”

กรุงเทพฯ 30 พ.ค. – ก.คมนาคม สั่งตั้งกรรมการสอบ “ส่วยสติกเกอร์” ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือ และให้รายงานผลสอบใน 15 วัน ประชุมนัดแรกพรุ่งนี้ (31 พ.ค.66)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังกรณีกระแสข่าวการจ่ายเงินของผู้ประกอบการรถบรรทุกเพื่อซื้อสติกเกอร์ที่มีลักษณะพิเศษจากนายหน้า สำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่ารถบรรทุกที่ติดสติกเกอร์ดังกล่าวมีการจ่ายเงินเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดเส้นทางของการขนส่งแล้ว ทำให้รถบรรทุกข้างต้นสามารถเดินทางและประกอบกิจการขนส่งของตนโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น เนื่องจากด่านชั่งน้ำหนักตามเส้นทางต่าง ๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม อาจส่งผลให้ประชาชนอาจเกิดความสงสัยในความโปร่งใสของการปฏิบัติงานของหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จนอาจกระทบถึงภาพลักษณ์โดยรวมได้

ในวันนี้กระทรวงคมนาคม ได้ออกเอกสารเผยแพร่ ระบุผู้บริหารกระทรวงคมนาคม มิได้นิ่งนอนใจกับกรณีดังกล่าว จึงได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในความโปร่งใสในการดำเนินการของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณะชน กระทรวงฯ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยการติดสติกเกอร์บนรถบรรทุก


โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก ผู้อำนวยการกองกฎหมาย ผู้อำนวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานปลัด กระทรวงคมนาคม และผู้อำนวยการกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวมีมูลเป็นความจริงหรือไม่ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานใด โดยให้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการตรวจสอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ทราบภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งจะมีการประชุมครั้งแรกในวันพรุ่งนี้ (31 พฤษภาคม 2566)

หากรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวพบว่าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กระทรวงฯ จะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามความจำเป็น และเหมาะสม สามารถเชิญบุคคลหรือผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ รวมถึงเรียกเอกสาร พยานหลักฐานต่าง ๆ จากบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการตรวจสอบได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงจัดทำและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับกรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งนี้ต่อไปด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ขอยืนยันว่าจะดำเนินการทุกขั้นตอนและตรวจสอบทุกประเด็นด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงและเชื่อมั่นในการดำเนินการของกระทรวงฯ ต่อไป .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง