กรุงเทพฯ 10 เม.ย. – ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินปี 66-67 นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวต่อเนื่อง จับตานักท่องเที่ยว GIFT+ “ตะวันออกกลาง-อินเดีย-เอเชียตะวันออก” มีศักยภาพใช้จ่าย และเป็นตลาดใหม่ คาดมีสัดส่วน45-50% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงไทย เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยในช่วง Pre-COVID (ปี 2562) ภาคการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือราว 16% ของ GDP ทั้งนี้ แม้การระบาดของ COVID-19 จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยซบเซาลง แต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในครึ่งหลังของปี 2565 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 และ 2567 จะฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 มาอยู่ที่27.1 ล้านคน และ 36.6 ล้านคน ตามลำดับ กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID ที่ 39.9 ล้านคน ได้ในช่วงปี 2567 โดยนักท่องเที่ยว GIFT+ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ ประเทศแถบตะวันออกกลาง (Gulf) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวโดยรวมถึง 70-125% , อินเดีย ที่จำนวนประชากรกำลังจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก และประเทศแถบเอเชียตะวันออก (Far easT+) อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และรัสเซีย เป็นกลุ่มที่น่าจับตา เนื่องจากมีศักยภาพด้านการใช้จ่าย และบางส่วนยังเป็นตลาดใหม่มีโอกาสเติบโตอีกมาก
ด้านนายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดว่านักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ที่เดินทางเข้าไทยในช่วงปี 2566-2567 จะมีจำนวนเท่ากับ 12.2 และ 18.5 ล้านคน คิดเป็น 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ มีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวไทยมีจุดเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศทำให้ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ทั้งนี้ รายงาน Travel & Tourism Competitiveness Report ที่จัดทำโดย World Economic Forum ชี้ว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในอันดับ Top 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียนโดย เป็นรองเพียงสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ขณะที่ข้อมูลจากสื่อต่างๆ ยังชี้ว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวโดยตรงอย่างธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร ห้างค้าปลีก และขนส่ง เพียงเท่านั้น แต่ธุรกิจอื่น ๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ และHealthcare ก็มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ เพื่อจะได้ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงใช้ช่องทางการตลาดให้เหมาะสม ส่วนบทบาทของภาครัฐในระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงจุดอ่อนของภาคการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะปัญหาด้านความปลอดภัยเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วง Pre-COVID ให้ได้เร็วที่สุด ส่วนในระยะกลาง-ยาว ควรผลักดันการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระจายรายได้สู่จังหวัดอื่น ๆ รวมถึงควรให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพให้มากขึ้น เช่น กลุ่ม Gulf อย่าง ซาอุดิอาระเบีย คูเวต อิสราเอล และสหรัฐอาหรับฯ ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ในระดับสูง.-สำนักข่าวไทย