ทำเนียบฯ 28 มี.ค.-ครม.สั่งการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องระดมแนวทางแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างเร่งด่วน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้หารือเรื่องการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ว่า จากรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากข้อมูลของ GISTDA พบว่า ไทยพบจุดความร้อน 5,396 จุด เมียนมา พบจุดความร้อน 6,877 จุด สปป ลาว พบจุดความร้อน 4,066 จุด กัมพูชา พบจุดความร้อน 739 จุด และเวียดนาม พบจุดความร้อน 626 จุด สำหรับประเทศไทย พบจุดความร้อน หรือ Hotspot ส่วนใหญ่พบในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 3,024 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 1,790 จุด พื้นที่เกษตร 251 จุด พื้นที่ชุมชนอื่นๆ 167 จุด พื้นที่ ส.ป.ก. 157 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง 7 จุด
สำหรับจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด คือ น่าน 555 จุด แม่ฮ่องสอน 429 จุด อุตรดิตถ์ 382 จุด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ด้วยการยกระดับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติ เช่น กระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการปิดป่าในส่วนที่มีสถานการณ์ไฟป่าในระดับวิกฤติ หรือเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าขั้นรุนแรง มีการระดมเครือข่าย อาสาสมัคร อุปกรณ์เครื่องมือ อากาศยานในการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และปฏิบัติดับไฟอย่างเข้มข้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับจังหวัดประกาศห้ามเผาในทุกพื้นที่ และให้บูรณาการหน่วยงานในทุกพื้นทำการลาดตระเวน เฝ้าระวังการเผา ป้องกันมีการเผาอย่างเข้มข้น ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับให้ลดรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบในช่วงนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ในส่วนของกระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร ได้พิจารณามาตรการเรื่องการจำกัดเวลา พื้นที่ และปริมาณรถบรรทุกที่จะเข้ามาในเขตเมือง และให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฏหมายกับผู้ลักลอบเผา หรือผู้กระทำความผิดอย่างเข้มข้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ปฏิบัติการฝนหลวง ลดไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า สำหรับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ได้จัดให้มีการทำห้องปลอดฝุ่น และแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นเท่าที่จำเป็น รวมถึงยารักษาโรคในพื้นที่ และเร่งจัดบริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ทั้งหน่วยงานบริการตรวจสุขภาพประชาชน และจัดบริการคลินิกมลพิษเคลื่อนที่ในทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คำแนะนำและดูแลสุขภาพกับประชาชน
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการไปยังเอกอัครราชทูตในประเทศเพื่อนบ้าน ให้เร่งประสานขอความร่วมมือในการลดการเผาไหม้ในพื้นที่การเกษตร
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ใช้ช่องทางทหารในการประสานงาน ทางด้านหน่วยงานด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะขอความร่วมมือในการลดการเผาในพื้นที่เกษตร อีกทั้งขอความร่วมมือบริษัทเอกชนที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อช่วยดูแลพื้นที่เกษตรด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงเรื่องการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งในขณะนี้มีการจดทะเบียนรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 พร้อมทั้งให้มีการเพิ่มสถานีชาร์จไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ รวมทั้งบรรจุสิทธิประโยชน์สำหรับมาตรการการลงทุน เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว และรัฐบาลได้มีการส่งเสริมจากพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาดด้วย.-สำนักข่าวไทย