กรุงเทพฯ 24 มี.ค. – “พ.ต.อ.ศิริวัฒน์” โฆษก บช.ก.ชี้ถ้าเงินให้ “ชูวิทย์” มาจากการกระทำผิด เจ้าตัวต้องถูกดำเนินคดี ฐานร่วมฟอกเงินด้วย
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. เผยถึงความคืบหน้าคดีสารวัตรซัว ว่า ภายหลังจากมีปฏิบัติการในวันที่ 3 มี.ค.66 ลงพื้นที่ตรวจค้น 63 จุด สามารถยึดทรัพย์สินได้มากกว่า 1,400 ล้านบาท จับผู้ต้องหาได้ 4 ราย ซึ่งทางกองบัชญาการตำรวจสอบสวนกลางได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.) ได้มีการปฏิบัติการเข้าตรวจค้นพื้นที่ 9 จุด ใน กทม.และ จ.จันทบุรี สามารถยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และเชิญบุคคลเข้ามาสอบปากคำเพื่อขยายผลเพิ่มเติม ซึ่งภายหลังจากเข้าตรวจค้น 60 บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับคดีสารวัตรซัว มีบุคคลที่จะต้องตรวจสอบถึง 150 คน ขณะนี้สามารถกำจัดวงมาได้เหลือ 20-30 คน ซึ่งบางคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหุ้นในบริษัท และมีทรัพย์สินเกินกว่ารายได้ ทำให้ทราบว่ามีความเชื่อมโยงในคดี ซึ่งตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนกรณีของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่ออกมายอมรับกลางงานแถลงข่าวว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อต้องการให้หยุดแฉนั้น ทางกองบัญชาการสอบสวนกลาง จะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินจากการกระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน
ส่วนกรณีของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ เลิกแฉคดีสารวัตรซัวนั้นจะต้องรอให้ทางทนายตั้ม นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบว่ามีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้านบาท ให้กับบุตรของนายชูวิทย์ ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกันว่ามาจากบุคคลใดและเป็นเงินที่มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่. -สำนักข่าวไทย