กรุงเทพฯ 15 ก.พ.-OR แจ้งผลการดำเนินงานปี 2565 กำไรสุทธิ 10,370 ล้านบาท ลดลงจากปี ก่อน 1,104 ล้านบาท เหตุต้นทุนผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของธุรกิจ Mobility ยืนยันฐานะทางการเงินที่ยังคงแข็งแกร่ง เดินหน้าลงทุนปีนี้ เพิ่ม 3.1 หมื่นล้าน
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2565มีกำไรสุทธิ 10,370 ล้านบาท ลดลงจากปี ก่อน 1,104 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.86 บาทต่อหุ้น มีรายได้ขายและบริการกว่า 7.89 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 277,986 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 54.3% และ EBITDA เพิ่มขึ้น 273 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.3% และที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท รายได้เพิ่มขึ้นมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ภาพรวมปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้นกว่า 15% ในทุกกลุ่มธุรกิจ และยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of Income) ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจาก บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากการร่วมลงทุนกับพันธมิตร (Partners) ในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในช่วงปี 2564 แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะมีต้นทุนผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของธุรกิจ Mobility ส่งผลให้ในปี 2565 มีกำไรสุทธิลดลง
สำหรับฐานะทางการเงินของ OR ยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ 31 ธันวาคม 2565 OR มีสินทรัพย์รวม 225,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,845 ล้านบาทจากสิ้นปี 2564 โดยได้เตรียมงบลงทุนสำหรับปี 2566 ไว้ที่ 31,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภาพรวมของการเติบโตของธุรกิจในปีนี้จะเติบโตได้ดี จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น นอกจากนี้ OR ยังได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating)โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง) ที่ระดับ “AA+” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตที่ “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันและค้าปลีกในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น และมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต
“OR ยังคงมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเดิม พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย “OR’s SDG” หรือ SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อผลักดันให้ OR ก้าวไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายดิษทัต กล่าว.-สำนักข่าวไทย