กรุงเทพฯ 9 ม.ค.-“ทนายตั้ม” ตั้งโต๊ะแถลงแล้ว สำหรับรายละเอียดประเด็นชู้สาวอดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยมีคำใบ้ 3 ข้อที่บอกให้นักข่าวและสังคมเอาไปขบคิด พร้อมยืนยันว่าที่ออกมาเปิดเผยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง แต่เป็นเพราะผู้เสียหายถูกข่มขู่จากกลุ่มชายฉกรรจ์ หลังเป็นคดีความ
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขามูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ตั้งโต๊ะแถลงเกี่ยวกับประเด็นร้อน โดยบอกว่า มีชายคนหนึ่งมาปรึกษาเกี่ยวกับข้อกฏหมาย หลังพบว่าแฟนสาวไปมีความสัมพันธ์กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยมีหลักฐานเป็นแชทไลน์ พูดคุยกันในเชิงชู้สาวระหว่างผู้หญิง และอดีตรองนายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าว
จากนั้นทนายตั้มร่ายยาวว่า เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน และผู้เสียหายนำข้อมูลมาปรึกษาเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่าภรรยาที่ทำงานอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดความสงสัย แอบไปเปิดมือถือภรรยา ทำให้พบข้อความสนทนาทางไลน์กับผู้ชายคนหนึ่ง และยังพบภาพเปลือยของทั้งคู่ถ่ายเก็บไว้ในมือถือ โดยผู้เสียหายที่นำเรื่องมาปรึกษารู้สึกเสียใจ เนื่องจากผู้ชายที่มีสัมพันธ์กับภรรยาเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี
ทนายตั้ม จึงให้คำปรึกษาในเรื่องของข้อกฎหมาย โดยคดีนี้ฟ้องทางแพ่งและฟ้องหย่ากับภรรยาไปแล้ว เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม และศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดคดีเดือนมีนาคมปีนี้ ต่อมาอดีตรองนายกรัฐมนตรีทราบว่า สามีของผู้หญิงทราบเรื่องแล้ว จึงพยายามตีตัวออกห่าง และมีการฟ้องร้องเพื่อให้ภรรยาของผู้เสียหายคืนทรัพย์สินต่างๆ ให้
จากนั้นผู้เสียหายและภรรยา รวมทั้งอดีตรองนายกรัฐมนตรี นัดเจรจาคดีความนี้ที่โรงพักบางยี่ขัน โดยผู้เสียหายอ้างว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาในโรงพัก มีพฤติกรรมข่มขู่ที่สถานีตำรวจ และตามมาข่มขู่ถึงที่บ้าน ทำให้ผู้เสียหายกังวลเรื่องความปลอดภัย นำข้อมูลนี้มาปรึกษา เพื่อให้เปิดเผยเรื่องราวนี้ต่อสื่อมวลชน และได้นำข้อมูลหลักฐานไปส่งมอบให้กับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนหนึ่งรับผิดชอบคดีแล้ว
นอกจากเล่ารายละเอียด ทนายตั้ม ยังบอกใบ้ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี และเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ที่ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์
นอกจากนี้ ทนายตั้ม ยังบอกอีกว่า บุคคลนี้จะเคยมีพฤติกรรมลักษณะชู้สาวกับบุคคลอื่นอีกหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้ แต่กับลูกความตัวเอง ถือว่ามีหลักฐานชัดเจน ดังนั้นการที่บุคคลที่รู้ตัวเองอยู่แล้ว ออกมาปฏิเสธ ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่าบุคคลนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยมานานกว่า 5 ปีแล้ว ดังนั้น เหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง แต่ถือเป็นคดีความส่วนตัวเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย