ตั้งกองทุนประชารัฐ 5 หมื่นล้าน ดูแลผู้มีรายได้น้อย

ทำเนียบฯ 9 พ.ค. – ครม.เห็นชอบตั้งกองทุนหมุนเวียนสวัสดิการแห่งรัฐ 5 หมื่นล้านบาท ดูแลผู้มีรายได้น้อย พร้อมขยายเวลารถเมล์-รถไฟฟรี 5 เดือน รอบัตรสวัสดิการ


นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยเริ่มจัดสรรงบประมาณปี 2561 เข้ากองทุน เพื่อเริ่มใช้สวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เป็นกลไกสำคัญในการดูแลสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยกำหนดกรอบดำเนินการของกองทุน เพื่อใช้เงินดูแลบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน การพัฒนาทักษะ การดูแลคุณภาพชีวิต การจัดหลักประกันสุขภาพ โดยสำนักงบประมาณจัดสรรงบเข้ากองทุนดังกล่าว 46,000 ล้านบาท 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า รัฐบาลเปิดให้รายย่อยลงทะเบียนถึงวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ จึงต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยทุกคนที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี รีบไปลงทะเบียน เพราะหากพลาดลงทะเบียนครั้งนี้แล้วจะต้องรอลงทะเบียนอีกครั้งปีหน้า เพื่อนำบัตรไปใช้บริการผ่านบัตรสวัสดิการทั้งเรื่องรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี และสวัสดิการด้านต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการจัดทำบัตรและวางระบบเครือข่าย เพื่อให้รายย่อยใช้บริการด้านคมนาคม 


นายณัฐพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ครม.เห็นชอบการขยายเวลาโครงการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม-30 กันยายน วงเงินชดเชย 1,907 ล้านบาท ผ่านรถเมล์ ขสมก. 800 คันต่อวัน วงเงิน 1,540 ล้านบาท และ รถไฟชั้น 3 จำนวน 152 ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น 3 ทางไกลพ่วงเชิงพาณิชย์ 8 ขบวน วงเงิน 367 ล้านบาท หลังจากนั้นจะเริ่มให้ผู้มีรายได้น้อยใช้บริการสาธารณะผ่านระบบสวัสดิการแห่งรัฐผ่านบัตรสวัสดิการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบปรับปรุงกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 กรอบโดยรวมยังเหมือนเดิม ประมาณรายจ่าย  2.9 ล้านล้านบาท ประมาณการณ์รายได้  2.45  ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ  450,000 ล้านบาท สมาติฐานจีดีพีขยายตัวร้อยละ 3.5-3.6 ด้วยการปรับการจัดสรรงบประมาณตามรายกระทรวง บางหน่วยงานได้รับเพิ่มขึ้น โดยบางส่วนราชการปรับลดลง วงเงิน 4,985 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4,984 ล้านบาท และยังจัดทำงบเพิ่ม 47,110 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเพิ่มเติมรองรับการจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อฐานรากดูแลสวัสดิการแห่งรัฐปี 2561 ในส่วนของกระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรร 222,436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,892 ล้านบาท  จากปีก่อนได้รับจัดสรร 213,544 ล้านบาท นับว่าต่ำกว่ากระทรวงมหาดไทยซึ่งได้รับจัดสรรกว่า 300,000 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง