ศาลอาญา 21 ธ.ค. – ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยคดีครอบครองยาไอซ์ ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ขณะที่จำเลยเปิดใจ 3 ปี 3 เดือน 4 วัน 2 ชั่วโมง เจ็บปวดตกเป็นแพะในคดีต้องออกจากงานและมีปัญหาสุขภาพ
นายณัฏฐนันท์ รัตนาพรรณ อายุ 46 ปี ผู้บริหารบริษัทเอกชนด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ตกเป็นจำเลยคดีครอบครองยาเสพติด (ยาไอซ์) พร้อมทนายความ เดินทางไปฟังคำพิพากษาของศาล โดยเจ้าตัวยังคงยืนยันว่าคดีนี้เป็นการจับผิดตัว ตนเองต้องตกเป็นแพะ ทำให้ได้รับความเสียหาย
โดยคดีนี้นายณัฏฐนันท์ ถูกตำรวจปราบปรามยาเสพติดจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายฯ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 โดยตำรวจอ้างว่าเป็นการขยายผลจับกุมมาจากการที่สายลับล่อซื้อไอซ์กับพ่อค้ายาเสพติดชื่อ “นายโอ” จำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกไอซ์ 174 กรัม นัดรับย่านเพชรเกษม ครั้งที่ 2 ไอซ์ 189.77 กรัม นัดรับย่านหนองแขม แต่ทั้ง 2 ครั้ง นายโอได้โยนยาเสพติดทิ้งไว้ที่จุดนัดรับ เจ้าหน้าที่จึงไม่พบตัวนายโอ ยึดได้เพียงยาเสพติด ตำรวจจึงต้องขยายผลจากทะเบียนรถที่นายโอใช้ ซึ่งไปตรงกับทะเบียนรถของนายณัฏฐนันท์ แม้จะคนละรุ่น แต่เป็นยี่ห้อเดียวกัน เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่านายณัฏฐนันท์ คือนายโอ ซึ่งนายณัฏฐนันท์ ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ว่าไม่ใช่นายโอ และสายลับก็เคยมาชี้ตัวนายณัฏฐนันท์และยืนยันแล้วว่าไม่ใช่นายโอ แต่ตำรวจและพนักงานอัยการก็ยังส่งฟ้องนายณัฏฐนันท์ ต่อศาล
โดยศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนพิพากษาตัดสินให้ยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ด้านนายเกรียงไกร นาควะรี ทนายความจำเลย ได้พานายณัฏฐนันท์ แพะในคดีนี้ออกจากศาลมาด้วยสีหน้าโล่งใจ โดยระบุว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากคำให้การของตำรวจชุดสืบสวนต่างให้การขัดแย้งกันเอง และให้การไม่ตรงกันทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล นอกจากนี้ศาลยังได้เบิกตัวสายลับของตำรวจที่เข้าล่อซื้อในคดีดังกล่าว และเคยเจอนายโอตัวจริงมาให้การ ซึ่งสายลับก็ยืนยันว่าจำเลยไม่ใช่นายโอ สอดคล้องกับที่เคยชี้ตัวในชั้นสอบสวนไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นจำเลยจึงเป็นผู้บริสุทธิ์
ขณะที่นายณัฏฐนันท์ เปิดใจว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน 4 วัน 2 ชั่วโมง เป็นตัวเลขแห่งความเจ็บปวดที่ทับถมอยู่ใจใน สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบต่อการงาน ทำให้คนรอบข้างเข้าใจว่าตนกระทำความผิด จนต้องลาออกจากงาน กระทบต่อสุขภาพของตนเองที่เป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ เวลาเครียดก็จะเจ็บปวดร่างกาย ต้องสูญเสียเงินมาสู้คดี และยังกระทบจิตใจของคนในครอบครัว แต่เมื่อศาลพิพากษาให้ความเป็นธรรม ก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ในตอนแรกที่เกิดเหตุ ก็เคยคิดที่จะฟ้องกลับตำรวจที่สืบสวนไม่รัดกุมและจับตนเองเป็นแพะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตนเองก็รู้สึกมีสติมากขึ้น และเปลี่ยนความคิดใหม่ อาจจะเดินหน้ากลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่อยากกลับไปพูดถึงอดีต ส่วนหลังจากนี้หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์ ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ตนเองก็จะใช้ความจริงในการต่อสู้คดี ส่วนตำรวจก็ขอให้ทำคดีให้รัดกุมและชัดเจน ก่อนที่จะแจ้งข้อหาร้ายแรงเช่นนี้กับบุคคลใดก็ตาม. -สำนักข่าวไทย