30 พ.ย. – คุณเชื่อไหม? วันหนึ่งประเทศไทยจะเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร? ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางพลังงานสะอาดของอาเซียน? สมุนไพรไทยจะกลายเป็นทางออกของสุขภาพโลก?
ภาพเหล่านี้เป็นความฝันของธุรกิจไทย…ที่จะไม่มีวันเป็นจริงได้ ถ้าไม่มีใครลงมือทำ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำโดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ประกาศในงาน “รวมพลคนกล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ณ สามย่านมิตรทาวน์ว่า “EXIM BANK กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย”
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2537 ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออก การนำเข้า และการลงทุนของผู้ประกอบการไทย ด้วยการให้เงินทุนหมุนเวียน สินเชื่อโครงการลงทุน บริการประกันการส่งออกและลงทุน และบริการอื่น ๆ ครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย “กล้า” เริ่มต้นและขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป ซ้ำเติมภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น EXIM BANK ได้ใช้ “ความกล้า” ทำหน้าที่รับความเสี่ยงมากกว่า ให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่สู่อนาคต และหนุนทุนไทยไปสยายปีกในต่างแดน ภายใต้ภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม สานพลัง” การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain อย่างยั่งยืน เคียงข้างผู้ประกอบการไทยที่มีฝันให้กล้าปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ในบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย”
นอกจากบทบาทที่ผ่านมาของ EXIM BANK ในการช่วยเหลือธุรกิจสายการบินที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราวจากผลกระทบของ COVID-19 จนเมื่อ COVID-19 คลี่คลายลง สายการบินทั้งหมดได้กลับมาดำเนินงานเป็นปกติ ไม่เพียงแต่พนักงานจำนวนมากจะไม่ถูกเลิกจ้าง ประชาชนยังได้รับประโยชน์จากการได้รับความสะดวกในการเดินทางเช่นกัน และความกล้าให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่และหนุนทุนไทยไปต่างแดน
EXIM BANK ได้ประกาศจะใช้ 3 เครื่องมือใหม่ บนจุดยืนใหม่ “กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” พร้อมสัญญาจะเดินเกมรุกปั้นผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) เชื่อมโยง Supply Chain โลก โดยตั้งเป้าหมายขยายสินเชื่อคงค้างเป็น 300,000 ล้านบาทภายในปี 2570
- บริการสร้างตัวตนแบบครบวงจรให้ SMEs ไทยในเวทีโลก ด้วยเครื่องมือทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงิน ตั้งแต่การให้ข้อมูล บ่มเพาะ อบรมสัมมนา และให้บริการทางการเงินที่ครบถ้วน เพื่อช่วยให้เกษตรกรรุ่นใหม่ วิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพ และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก Nobody เป็น Somebody ในตลาดโลกได้
- บริการสร้างโอกาสการลงทุนในต่างแดน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางที่มีศักยภาพ (Amazing M) ในการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานการผลิตและขยายเครือข่ายทางการค้า
- บริการยกระดับธุรกิจไทยสู่ BCG Model มุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำตามนโยบายรัฐบาล สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยตั้งแต่รายย่อย รายกลาง ไปจนถึงรายใหญ่ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ร่วมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจ BCG ในประเทศไทย เชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลก โดย EXIM BANK พร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนและพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อระดมทุนไปใช้สนับสนุนธุรกิจ BCG ของไทย
ดร.รักษ์ กล่าวว่า ความกล้าที่จะขึ้นมาเป็นเสาหลักในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนั้น จำเป็นที่จะต้องทำคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนองค์กร (Transformation) ซึ่ง EXIM BANK กล้าเปลี่ยนโมเดลธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วยสมการ 4P โดยให้ความสำคัญกับคน (People) เป็นอันดับแรก เริ่มต้นจากพนักงาน มุ่งสร้าง Empathic Workplace ให้สะท้อนผลการให้บริการที่ดีไปสู่ลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะคนตัวเล็กในโลกธุรกิจ ตลอดจนผู้คนในชุมชนและสังคม ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงโลก (Planet) โดยการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะ สร้างโลกที่ดีขึ้น บวกกับความมุ่งมั่นให้บริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด (Productivity) ไม่ว่าจะเป็นบริการที่รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า (Value Proposition) ซึ่งการขับเคลื่อนด้วยโมเดลธุรกิจดังกล่าวจะช่วยสร้างกำไร (Profit) และการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร พร้อมกับสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเติบโตไปด้วยกัน (Inclusive Growth) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธีเปิดงาน “รวมพลคนกล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” ได้สนับสนุนนโยบายและบทบาทของ EXIM BANK ในการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าโลก และช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ประสบกับปัญหา เนื่องจาก EXIM BANK มีความพร้อมในด้านเงินทุนและการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งกระทรวงการคลังจะสนับสนุนการเพิ่มทุนในระยะถัดไป ทั้งนี้ เพื่อให้ EXIM BANK เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนารากฐานภายในประเทศ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบที่เอื้อต่อการสร้างระบบนิเวศการค้าการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ บรรยากาศส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต สอดรับกับเมกะเทรนด์โลก ประกอบกับการเร่งสร้าง Entrepreneurship DNA ให้คนไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการเติมความกล้าที่จะไม่จำกัดอยู่แค่ตลาดภายในประเทศ กล้าบุกตลาดโลกที่มีโอกาสใหม่ ๆ อีกมาก และใช้จุดแข็งของกิจการต่อยอดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอย่าง EXIM BANK เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain ให้เติบโตได้มั่นคงและยั่งยืน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) ได้ ต้องใช้ “ความกล้า” เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดมิติใหม่ขององค์ความรู้ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เครือข่ายธุรกิจ การถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะคนตัวเล็ก ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชน และ SMEs ให้สามารถปรับตัวให้ก้าวทันโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระแสรักษ์โลก และความยั่งยืน และผู้ประกอบการไทยต้องกล้าเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ตัวตน (Identity) และโมเดลธุรกิจ (Business Model)
ด้านกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystems) ที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีจากระบบอนาล็อกไปสู่ดิจิทัล นำไปสู่วิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal แต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น เปลี่ยนจาก New Normal ไปสู่ชีวิตวิถีถัดไปหรือ Next Normal ทำให้บริบททางสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ของผู้คนทั่วโลกสะท้อนให้เห็นเทรนด์สำคัญๆ ในอนาคต โดยเฉพาะการเปิดรับเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลใหม่ๆ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย โดยมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยด้านสุขอนามัย และผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้การค้าการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบดั้งเดิมสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
ดร.รักษ์ กล่าวว่า โลก Next Normal ก่อให้เกิดรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ 3 แบบ
1.Stay-at-home Economy เช่น การพบปะสังสรรค์ผ่านแอปพลิเคชัน การทำธุรกิจ E-commerce การบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน และการเลือกซื้อสินค้าผ่านประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality)
2.Touchless Society ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการสัมผัส เช่น ระบบการจัดส่งสินค้าแบบ Non-contact Delivery ระบบประตูอัตโนมัติในพื้นที่สาธารณะ รูปแบบการจ่ายเงินแบบ E-payment ใช้เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียง (Voice recognition) หรือจำลองโลกเสมือนจริง (Augmented reality) แทนการสัมผัสโดยมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยเป็นสำคัญ
3.Regenerative Organic ประเด็นเรื่องความปลอดภัยและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมถือเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นเทรนด์เรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรที่เรียกว่า Regenerative Organic ซึ่ง ครอบคลุมการปลอดสารพิษ มาตรฐาน คุณภาพดิน การคุ้มครองสัตว์ คุณภาพชีวิตเกษตรกร ความยุติธรรมด้านค่าแรง รวมถึงระบบฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
อย่างไรก็ตาม แม้โลกเปลี่ยน ประเทศไทยยังมีปัญหาโครงสร้างของตัวเองที่ทำให้ยังไม่อาจหลุดจากประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ 90% ของประชากรทั้งประเทศมีเงินออมอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ผู้ประกอบการภายในประเทศส่วนใหญ่ยังไม่กล้าออกไปค้าขายหรือลงทุนในตลาดต่างประเทศ จำกัดอยู่ในธุรกิจเดิม ๆ มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถสร้างแบรนด์ไทยให้ติดตลาดโลกได้จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งรัฐบาลประกาศใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนแทนอุตสาหกรรมเก่า EXIM BANK จึงขานรับนโยบายของกระทรวงการคลัง เดินหน้าขยายบทบาทการเป็นผู้นำ (Lead Bank) ที่ “กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย (One Step Ahead for All Development)” สร้างนักรบเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีโลก โดยการเติมทุน เติมความรู้ เติมเครือข่าย “ปั้นดินให้เป็นดาว ปั้นคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่” ทำให้ธุรกิจทุกไซส์มีที่ยืนบนเวทีโลก ด้วยบริหารของ EXIM BANK ที่ครบจบในที่เดียว ตอบทุกโจทย์ของผู้ประกอบการไทย .