กรุงพนมเปญ 12 พ.ย.- นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2 ย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน พร้อมใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่นในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2 โดยมีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจากทั้ง 9 ประเทศ เลขาธิการอาเซียน และนายแอนโทนี แอลบาเนซี (The Honourable Anthony Albanese MP) นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย ร่วมกล่าวถ้อยแถลง เพื่อทบทวนความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน – ออสเตรเลียในรอบปีที่ผ่านมา กำหนดทิศทางของการดำเนินความสัมพันธ์ให้มีพลวัต แน่นแฟ้น ครอบคลุม และยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมขับเคลื่อนความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย ที่มีมายาวนานเกือบ 5 ทศวรรษ ให้มีพลวัต ครอบคลุม เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเกื้อกูลกับการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ท่ามกลางความท้าทาย ทั้งสองฝ่ายต้องเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน ผ่านการใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มต่าง ๆ ภายใต้ความร่วมมืออาเซียน- ออสเตรเลีย และกลไกอื่น ๆ ที่อาเซียนมีบทบาทนำ เพื่อเพิ่มพูนความยืดหยุ่นให้แก่ภูมิภาคในการรับมือกับความท้าทาย ทั้งนี้ ไทยยินดีที่จะร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือต่อ ASEAN Outlook on Indo-Pacific (AOIP) ซึ่งจะส่งผลต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อาเซียนและออสเตรเลียมีพัฒนาการที่สำคัญ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ สามารถสรุปผลการเจรจาเพื่อยกระดับความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน- ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ไทยยินดีที่ออสเตรเลียสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการขับเคลื่อนให้สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอาเซียนจากภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในรูปแบบต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ไทยประสงค์ให้ที่ประชุมพิจารณาความเป็นไปได้ที่อาเซียนและออสเตรเลียจะร่วมกันจัดกิจกรรมที่นอกเหนือจากข้อริเริ่มที่เป็นรูปธรรมในปี 2566 ใน 3 สาขาที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยี ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาความร่วมมือในด้านการขจัดขยะทะเลและการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และการดำเนินความร่วมมือที่สร้างสรรค์เพื่อนำพาภูมิภาคให้ผ่านพ้นความท้าทายและภัยคุกคามร่วมกันได้อย่างยั่งยืน รวมทั้ง บทบาทออสเตรเลียและความร่วมมือในกลุ่ม Quad และ AUKUS จะสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพในภูมิภาคและโลก ไทยพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในการประชุมเอเปค และร่วมฉลองการครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับออสเตรเลียด้วย .-สำนักข่าวไทย