ทำเนียบรัฐบาล 19 ต.ค.-ไทยพร้อมร่วมประชุม COP 27 ช่วง 3-18 พ.ย. 65 นี้ที่อียิปต์ ประกาศจุดยืนร่วมมือประชาคมโลกควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วานนี้ (18 ต.ค.) รับทรา บกรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP 27) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-18 พฤศจิกายน 2565 ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณัฐอาหรับอียิปต์ ซึ่งถือเป็นการจัดประชุมประจำปีเพื่อหารือรายละเอียดความร่วมมือ และกำหนดทิศทางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกรอบท่าทีเจรจาของไทยเป็นไปตามหลักการของอนุสัญญาฯ และความตกลงปารีส สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ นโยบายและแผนของประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และไม่ขัดกับนโยบายของรัฐบาล โดยประเทศไทยในฐานะประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) และความตกลงปารีส กำหนดเป้าหมายให้ประชาคมโลกต้องร่วมกันจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียสในปี ค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2643) จัดทำและปรับปรุงเอกสารยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ
“การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด เพื่อยกระดับเป้าหมายของไทย ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ฉบับปรับปรุง ซึ่งยังมีสาระสำคัญคงเดิม แต่แก้ไขในประเด็นที่สำคัญ เช่น เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด เดิม ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) เป็น ค.ศ. 2025 (พ.ศ. 2568) ซึ่งเร็วขึ้น 5 ปี ความเป็นกลางทางคาร์บอน เดิม ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) เป็น ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) เร็วขึ้น 15 ปี การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ เดิม ค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2643) เป็น ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) เร็วขึ้น 35 ปี รวมทั้งการระบุประเด็นที่ไทยต้องการรับการสนับสนุนให้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยไม่มี และความช่วยเหลือในเรื่องการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น” นายอนุชา กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (2nd Updated NDC) มีการแก้ไขเป้าหมายในระยะสั้นให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ฉบับปรับปรุง เช่น เป้าหมายก๊าซเรือนกระจกลดลง ร้อยละ 30-40 จากกรณีปกติ ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) กำหนดกรอบท่าทีของไทยในการประชุม COP27 โดยหลักการการเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรม คำนึงถึงขีดความสามารถที่แตกต่างกันของแต่ละภาคี การพัฒนาที่ยั่งยืน การขจัดความยากจน การไม่เลือกปฏิบัติ และเน้นย้ำว่าประเทศพัฒนาแล้วจะต้องเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
“นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับความท้าทายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลกระทบกับประชาชนทุกคนในโลก และทุกประเทศต้องร่วมมือกัน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในโลกที่เกิดขึ้น การมีส่วนร่วมของทุกประเทศโดยไม่แบ่งแยกฐานะ ระดับการพัฒนาจะทำให้สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในโลกดีขึ้น ซึ่งถือเป็นความภูมิใจและความสำเร็จร่วมกัน” นายอนุชา กล่าว.-สำนักข่าวไทย