กรุงเทพฯ 19 เม.ย. – กกพ.มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ 12.52 สต./หน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่เดือน พ.ค.-ส.ค.ยังติดลบ 24.77 สต. เฉลี่ยค่าไฟฟ้าผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5079 บาท/หน่วย เหตุผลจากค่าเชื้อเพลิงขยับขึ้นโดยเฉพาะราคาก๊าซฯ ขยับขึ้นตามราคาน้ำมัน
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยภายหลังจากการประชุม กกพ. ว่า กกพ. ได้พิจารณาผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ที่ -19.46 สตางค์ต่อหน่วย ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 17.83 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ในการพิจารณาค่าเอฟทีครั้งก่อนที่คาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ และมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าปีนี้อยู่ในช่วงขาขึ้นด้วย
โดยสาเหตุหลักมาจากราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับตัวสูงขึ้นตามรอบการปรับราคาตามสัญญาจากทั้งอ่าวไทยและพม่า และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ค่าเอฟทีมีความผันผวนมากเกินไป กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าเอฟทีจากที่คำนวณได้ในงวด พ.ค.- ส.ค. 60 ลงมาอยู่ที่ -24.77 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนเพียง 12.52 สตางค์ต่อหน่วย โดยปรับลดค่าเชื้อเพลิงในช่วงที่แหล่งก๊าซยาดานา ประเทศพม่า หยุดซ่อม เมื่อวันที่ 25 มีนาคม – 2 เมษายน 2560 เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลง 1.05 สตางค์ต่อหน่วย และนำเงินค่าปรับและค่าชดเชยต่างๆ ที่ได้รับจากการบริหารสัญญาจัดหาเชื้อเพลิงและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่างๆ มาลดค่าเอฟทีอีก 4.26 สตางค์ต่อหน่วย
นอกจากนี้ โฆษก กกพ. ยังได้กล่าวสรุปถึงปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิงและการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ดังนี้ 1. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าช่วง ม.ค.-เม.ย. 60 อยู่ที่ 0.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนขายถัวเฉลี่ยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เกิดขึ้นจริงเฉลี่ยเดือน ก.พ. 60 ที่ 35.19 บาทต่อเหรียญสหรัฐ 2. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 เท่ากับ 68,198 ล้านหน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 60 เท่ากับ 5,853 ล้านหน่วย คิดเป็นร้อยละ 9.39 3. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 65.14 รองลงมาเป็นรับซื้อไฟฟ้าจากลาว ร้อยละ 10.70 ถ่านหินนำเข้า ร้อยละ 8.58 และลิกไนต์ ร้อยละ 8.55 4. แนวโน้มราคาเชื้อเพลิง คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติรวมค่าผ่านท่อ อยู่ที่ 244.58 บาทต่อล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 9.35 บาทต่อล้านบีทียู ราคาน้ำมันเตาอยู่ที่ 12.47 บาทต่อลิตร ปรับตัวลดลง 3.39 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 20.77 บาทต่อลิตร ปรับเพิ่มขึ้น 0.09 บาทต่อลิตร ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,554.79 บาทต่อตัน ปรับลดลง 8.02 บาทต่อตัน และราคาลิกไนต์ กฟผ. อยู่ที่ 693 บาทต่อตัน ไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของภาครัฐ ในส่วน Adder และ FiT ในเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13,148.10 ล้านบาทในงวดที่แล้ว มาอยู่ที่ 13,536.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 388.32 ล้านบาท แต่เนื่องจากจำนวนหน่วยไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 มีสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อเทียบเป็นอัตราต่อหน่วยแล้วจะทำให้อัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ซึ่งอยู่ที่ 21.77 สตางค์ต่อหน่วย ลดลงจากงวด ม.ค. – เม.ย. 60 ที่ 22.97 สตางค์ต่อหน่วย เท่ากับ 1.20 สตางค์ต่อหน่วย
จากการปรับลดค่าเอฟทีเรียกเก็บงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 60 ในอัตรา -24.77 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดที่แล้ว 12.52 สตางค์ต่อหน่วย จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5079 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือคิดเป็นร้อยละ 3.70 ของค่าไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจากมติ กกพ. ดังกล่าวข้างต้น สำนักงาน กกพ. จะเผยแพร่รายละเอียดทั้งหมดผ่านทาง www.erc.or.th เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2560 – 3 พฤษภาคม 2560 เวลา 12.00 น. ก่อนที่จะนำผลการรับฟังความคิดเห็น มาพิจารณาและให้การไฟฟ้าประกาศเรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในรอบดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อไป – สำนักข่าวไทย