กทม. 14 ก.ย. – เหตุยิงกันในกรมยุทธศึกษาทหารบกเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ตำรวจเข้าเจรจาก่อนยอมมอบตัว คาดอาจเกิดจากความเครียดและปัญหาทางสุขภาพ
ภาพนาทีที่ตำรวจ สน.ดุสิต เข้าคุมตัว จ.ส.อ.ยงยุทธ อายุ 58 ปี เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ หลังเจรจาเกลี้ยกล่อมนาน 40 นาที ขณะเจ้าตัวยังถือปืนอยู่ในมือ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงคุมตัวไประงับสติอารมณ์ด้านใน
ย้อนกลับไปเมื่อช่วง 08.45 น.ที่ผ่านมา เกิดเหตุยิงกันภายในกรมทหารย่านถนนเทอดดำริ เบื้องต้นมีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ ทั้งสิ้น 3 ราย จุดเกิดเหตุ พบกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจปราบปรามจากของ สน.ดุสิต กำลังปิดกั้นถนนเทอดดำริ และมีตำรวจเข้าไปเจรจากับผู้ก่อเหตุ
จากการสังเกตของทีมข่าวพบว่า ผู้ก่อเหตุอยู่ในอาการสงบนิ่ง ในมือข้างขวาถือโทรศัพท์ ส่วนมือซ้ายถืออาวุธปืนอยู่ตลอดเวลา
ตำรวจใช้เวลาเจรจาประมาณ 30 นาที ผู้ก่อเหตุจึงยอมลดอาวุธ นำเครื่องกระสุนออกจากปืน เก็บอาวุธปืนและมอบตัวกับตำรวจที่เจรจาอยู่ ก่อนคุมตัวผู้ก่อเหตุเดินกลับเข้าไปภายในกรมยุทธศึกษาทหารบก เพื่อพูดคุยเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้ใหญ่
ในเวลาต่อมา พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเดินทางมาเพื่อสอบปากคำผู้ก่อเหตุ ขณะนี้ยังอยู่ภายในพื้นที่กรมยุทธศึกษาทหารบก
ในส่วนของกองทัพบก ได้ออกหนังสือแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิต พร้อมระบุในรายละเอียดของการเกิดเหตุว่า ผู้ก่อเหตุในครั้งนี้คือนายทหารชั้นประทวนชื่อ จ.ส.อ.ยงยุทธ ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก ก่อเหตุใช้อาวุธปืนพกยิงใส่เพื่อนทหาร ทั้งสิ้น 3 รายคือ จ.ส.อ.นพรัตน์ ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก , จ.ส.อ.ประการ ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก และ จ.ส.อ.ยงยุทธ์ ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก ส่งผลให้ จ.ส.อ.นพรัตน์ และ จ.ส.อ.ประการ เสียชีวิต และ จ.ส.อ.ยงยุทธ์ ได้รับบาดเจ็บ
ในหนังสือแสดงความเสียใจ ยังระบุถึงสาเหตุของการก่อเหตุในครั้งนี้ว่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่มีรายงานจากหน่วยต้นสังกัดให้ข้อมูลว่าอาจเกิดจากความเครียดและปัญหาทางสุขภาพ
ขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยกองทัพบกจะให้ความดูแลช่วยเหลือทั้งผู้บัตรเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ด้านพี่สาว จ.ส.อ.นพรัตน์ ที่เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ หลังทราบเรื่องได้เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนเองก็เป็นอดีตข้าราชการทหารที่ทำงานอยู่ที่กรมสรรพวุธทหารบก ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้คุยกับน้องชายก็ไม่เคยได้เล่าปัญหาอะไรให้ฟังว่าภายในองค์กรมีเรื่องผิดใจกับใครหรือไม่ เมื่อทีมข่าวเปิดภาพผู้ก่อเหตุให้ดู ก็ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ไม่รู้จักผู้ก่อเหตุ เพราะน้องชายไม่เคยพาหรือมาแนะนำให้รู้จัก ตอนนี้อยากรู้ว่าสาเหตุของการก่อเหตุมาจากเรื่องอะไร ทำไมถึงต้องทำรุนแรงกันกับน้องชายของตนเองขนาดนี้ เพราะน้องชายเหลืออายุราชการอีกเพียงสองปี ก็จะเกษียณกลับไปอยู่บ้านตามที่ได้มีการพูดคุยกับตนเองก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะมาเกิดเรื่องร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตกับน้องชายแบบนี้ ตนเองยังทำใจไม่ได้
ขณะที่การดำเนินการทางคดีเบื้องต้น จากการสอบถามเจ้าที่ตำรวจทราบว่าจะคุมตัวผู้ก่อเหตุไป สน.ดุสิตเพื่อสอบปากคำอีกครั้ง ขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ระหว่างการพูดคุยกับเจ้าที่ทหารระดับสูงอยู่ภายในกรมยุทธศึกษาทหารบกยังไม่สามารถให้รายละเอียดรายได้. – สำนักข่าวไทย