มินนีแอโพลิส 21 เม.ย. – นายเดเร็ค เชาวิน อดีตตำรวจผิวขาวของเมืองมินนีแอโพลิสในสหรัฐ ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน หลังการพิจารณาคดีดังกล่าวถือเป็นบททดสอบความรับผิดชอบครั้งใหญ่ของตำรวจในสหรัฐ
คณะตุลาการใช้เวลาพิจารณาคดีไม่ถึง 11 ชั่วโมง ก่อนตัดสินให้นายเชาวิน วัย 45 ปี มีความผิดตามข้อหาทั้งหมด 3 กระทง ได้แก่ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่ไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน ข้อหาทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยประมาท ขณะที่กลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกห้องพิจารณาคดีของเมืองมินนีแอโพลิส ซึ่งได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ต่างส่งเสียงยินดีและร่ำไห้ด้วยความโล่งใจ เมื่อศาลประกาศคำพิพากษาหลังใช้เวลาไต่สวนคดีถึง 3 สัปดาห์
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้ใส่กุญแจมือนายเชาวิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการประกันตัวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หลังผู้พิพากษาของเฮนเนพินเคาน์ตีในเมืองมินนีแอโพลิสอ่านคำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ของคณะลูกขุนที่เป็นชาย 5 คน หญิง 7 คน และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายเชาวินออกจากห้องพิจารณาคดีในทันที โดยที่เขาสวมหน้ากากอนามัยและไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่นายฟิโลนิส ฟลอยด์ น้องชายของนายจอร์จ ฟลอยด์ เข้าไปสวมกอดอัยการ ทั้งนี้ นายเชาวินต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุดถึง 40 ปีจากข้อหารุนแรงที่สุดคือ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่ไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน ซึ่งจะมีกำหนดบทลงโทษจะมีขึ้นในภายหลัง นายเชาวิน ซี่งทำหน้าที่ตำรวจมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 19 ปี มีภาพปรากฎในวิดีโอคลิปขณะใช้เข่ากดทับลำคอนายฟลอยด์นานกว่า 9 นาทีในขณะที่นายฟลอยด์นอนอยู่กับพื้นถนนและถูกสวมกุญแจมือ โดยเขากล่าวซ้ำหลายครั้งว่า เขาหายใจไม่ออก
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ โทรศัพท์ไปถึงสมาชิกในครอบครัวของนายฟลอยด์ พร้อมกับกล่าวว่า เขารู้สึกโล่งใจหลังจากทราบคำตัดสิน หลังจากน้้น เขาและรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส กล่าวปราศรัยทางโทรทัศน์ โดยนายไบเดน กล่าวว่า คำตัดสินนี้ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการนำความยุติธรรมมาสู่สหรัฐ เขาระบุว่า การเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบเป็นรอยเปื้อนบนจิตวิญญาณของชาติ เขาเรียกร้องให้พลเมืองอเมริกันสามัคคีกันเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรง ทางด้านนางแฮร์ริส ซึ่งเป็นสตรีและคนผิวดำคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีกล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันแห่งความยุติธรรมในสหรัฐ และถือเป็นวันประวัติศาสตร์.-สำนักข่าวไทย