นิวยอร์ค 4 เม.ย. – ความหวาดกลัวว่าจะการเกิดสงครามการค้าโลกเต็มรูปแบบและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย จากมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงหนักสุดในวันเดียวในรอบ 5 ปีช่วงปิดตลาดเมื่อวานนี้
ตลาดหุ้น วอลล์ สตรีท ของสหรัฐปิดการซื้อขายเมื่อวานนี้ด้วยการร่วงลงระเนระนาดครั้งใหญ่ที่สุดในวันเดียวในรอบหลายปี จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำหนดมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะเกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบและภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
โดยดัชนีความผันผวนของ CBOE หรือ VIX ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น ‘ดัชนีความกลัว’ ของนักลงทุนในวอลล์สตรีท แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ส่วนตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ดัชนีดาวโจนส์ ดิ่งลง 1,679.39 จุด หรือร้อยละ 3.98 ปิดที่ 40,545.93 จุด เอสแอนด์พี ร่วง 274.45 จุด หรือร้อยละ 4.48 ปิดที่ 5,396.52 จุด และแนสแดค ลดลง 1,050.44 จุด หรือร้อยละ 5.97 ปิดที่ 16,550.61 จุด เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 และนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หุ้นเอสแอนด์พี และแนสแดค ร่วงลงแล้วร้อยละ 10 จากสถิติพุ่งสูงสุดเมื่อเดือนที่แล้ว
บรรดานักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นหนีจากสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อแสวงหาความปลอดภัยจากทองคำและพันธบัตรรัฐบาล หลังจากทรัมป์ประกาศกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ร้อยละ 10 และเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าเดิมมากกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายสิบประเทศและดินแดนทั่วโลก จนส่งผลกระทบต่อระเบียบการค้าโลก ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจภายใต้รัฐบาลทรัมป์ในช่วงก่อนเข้ารับตำแหน่ง ได้ส่งผลให้หุ้นสหรัฐฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
การเทขายหุ้นของนักลงทุนยังสะท้อนว่า ประเทศอื่น ๆ จะตอบโต้มาตรการภาษีของทรัมป์ ซึ่งแคนาดาเป็นชาติแรกที่ดำเนินการดังกล่าว หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ ประกาศเก็บภาษียานยนต์นำเข้าใหม่จากสหรัฐเพิ่มเป็นร้อยละ 25 เท่ากับที่สหรัฐเก็บยานยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนจีนให้คำมั่นว่าจะตอบโต้แน่นอน หลังเจอภาษีทบแบบจุกๆ มากถึงร้อยละ 54 เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป ที่เจอเรียกเก็บภาษีสินค้าร้อยละ 20 ส่วนเกาหลีใต้ เม็กซิโก อินเดีย และคู่ค้าอีกหลายประเทศ ระบุว่า พวกเขาจะรอไปก่อน เพื่อขอผ่อนปรนภาษีหรือเจรจาต่อรอง ก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน
คาดว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สถานการณ์จะผันผวนมากขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มคลี่คลาย และผลกระทบเต็มรูปแบบจากมาตรการของทรัมป์เริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ สเตลแลนทิส (Stellantis) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ แถลงเมื่อวานนี้ จะเลิกจ้างพนักงานชั่วคราว 900 คนในโรงงาน 5 แห่งในสหรัฐและหยุดการผลิตที่โรงงานประกอบในเม็กซิโกและแคนาดา ประเทศละ 1 แห่ง หลังการประกาศมาตรเพิ่มการจัดเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ ที่ตามหลังการประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ร้อยละ 25 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก.-815.-สำนักข่าวไทย