สสธ. 9 ก.พ.- ผอ.สำนักระบาด คาดอีก 2-3 สัปดาห์ หรือราวปลาย ก.พ. ถึงต้น มี.ค. จุดพีคยอดผู้ติดเชื้อโควิด ชี้ขณะนี้พบการติดเชื้อในครอบครัวเป็นหลัก วอนให้ทุกคนร่วมตระหนัก เคร่งมาตรการส่วนบุคคล เพื่อป้องกันกลุ่มคน 608 ป่วยหนัก-เสียชีวิต
นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มสูงขึ้น ว่า การประเมินสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจะเห็นว่าต่างประเทศทางยุโรป อเมริกาอยู่ในช่วงขาลงของการระบาด พบติดเชื้อลดลง แต่ขณะที่ทวีปเอเชียและไทย อยู่ในช่วงขาขึ้น ปัจจัยหลักของไทยเกิดจากการเปิดกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้นมาก จะเหลือก็เพียงผับบาร์ คาราโอเกะที่ยังไม่ได้เปิด แต่ก็สามารถเปิดในรูปแบบร้านอาหารได้ ฉะนั้น ตอนนี้เหมือนกับใช้ชีวิตปกติแล้ว การติดเชื้อจึงเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่ไม่อยากให้กังวลเรื่องตัวเลขติดเชื้อ อยากให้ดูจำนวนป่วยหนักและเสียชีวิตเป็นสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระหว่างรักษาทั้งที่โรงพยาบาล (รพ.) และรักษาที่บ้าน (Home Isolation) รวมประมาณ 90,000 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งอยู่ใน รพ. และพบว่า 90% ของคนที่อยู่ในรพ.ไม่มีอาการหรือมีเล็กน้อยมาก ส่วนผู้ที่อาการรุนแรงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีประมาณ 111 คน คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อ ซึ่งพยายามประคองให้ไม่เกินวันละ 200 คน จากที่เคยพบสูงถึง 1,300 คน ในช่วงเดลตา ทำให้ไม่มีเตียงรอบรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ
นพ. จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ค่อนข้างสบายใจได้กว่ารอบเดลตา ที่ติดเชื้อสูงและมีตัวเลขป่วยหนัก เสียชีวิตตามมา แต่รอบนี้ติดเชื้อสูงแต่อาการหนักยังน้อยอยู่ ทั้งนี้ คาดว่าอีก 2-3 สัปดาห์จะมีตัวเลขป่วยหนัก เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยปลายเดือนนี้ ถึงต้นเดือนหน้า (มีนาคม)จะถึงจุดพีคของการระบาด ตามที่สำนักระบาดฯ คาดการณ์ไว้ในเส้นฉากทัศน์ ในเงื่อนไขที่ว่า หากไม่มีมาตรการอะไรเลย จะมีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ถึง 30,000 คนต่อวัน แต่ตัวเลขจะอยู่นานแค่ไหน ก็อยู่กับมาตรการที่ประชาชนช่วยกัน เพราะไม่มีใครอยากเห็นตัวเลขที่สูงเกินคาดการณ์ไว้ วันนี้พบผู้ป่วย 13.000 คน ดังนั้นต้องช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อ เนื่องจากขณะนี้พบการติดเชื้อในครอบครัวเป็นหลัก ดังนั้นต้องช่วยกัน ลดปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อ
ทั้งนี้ การปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เลี่ยงเข้าสถานที่แออัด หมั่นล้างมือ ช่วงนี้ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกับคนที่มีความเสี่ยงสูงและหากบ้านที่มีกลุ่มเสี่ยง 608 และเด็ก ก็ขอให้คนอื่นในบ้าน เว้นระยะห่าง เลี่ยงรับประทานอาหารร่วมกัน สวมหน้ากากอนามัย และเข้ามารับวัคซีนเข็มกระตุ้น.-สำนักข่าวไทย