จาการ์ตา/กรุงเทพ 1 ก.ย. – ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนว่า การประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของอินโดนีเซียและไทย หลังพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ลดลง อาจทำให้ทั้งสองประเทศพบผู้ป่วยติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากยังคงมีอัตราฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ในระดับต่ำ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า แม้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดพุ่งสูงขึ้นในหลายพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่อินโดนีเซียและไทย ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของภูมิภาค กลับเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการนั่งรับประทานอาหารในร้านและการเปิดห้างสรรพสินค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังใช้มาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่อินโดนีเซียพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 10,534 คนเมื่อวันอังคาร ลดลงถึง 5 เท่าจากในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่มีการระบาดรุนแรง ส่วนไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 14,802 คนในวันพุธ ลดลงร้อยละ 37 จากในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่มีการระบาดรุนแรง
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญหลายรายระบุว่า การตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยง เนื่องจากอินโดนีเซียและไทยมีอัตราฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ในระดับต่ำ ตรวจหาเชื้อโควิดได้ไม่ทั่วถึง และมีอัตราตรวจพบเชื้อโควิดสูงกว่าร้อยละ 5 ซึ่งไม่เป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ขณะที่ผู้ประสานงานด้านสุขภาพฉุกเฉินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า สหพันธ์ฯ รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจเปิดประเทศโดยไม่เป็นไปตามเกณฑ์ทั้งหมดที่องค์การอนามัยโลกได้เสนอไว้ เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วและอัตราฉีดวัคซีนในระดับต่ำอาจทำให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีอัตราตรวจพบเชื้อโควิดร้อยละ 12 และไทยมีอัตราตรวจพบเชื้อโควิดร้อยละ 34.-สำนักข่าวไทย