ปัตตานี 17 ก.ค.-ปัตตานียังหนัก ติดเชื้อวันเดียวพุ่ง 378 ราย เสียชีวิตอีก 5 ราย รองผู้ว่าฯ เผยผลจากการตรวจเชิงรุกผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในคลัสเตอร์ต่าง ๆ
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ถึงแม้ว่าในช่วงเวลา 5 วันที่ผ่านมา ที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว และจำกัดการเดินทางเข้าออกในพื้นที่อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา กลับพบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ลดน้อยลงเลย ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุดที่เคยมีมาในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ติดเชื้อใหม่ 378 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 5,620 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 5 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสม อยู่ที่ 59 รายแล้ว จากการมองดูตัวเลขย้อนหลังตั้งแต่มีการประกาศใช้มาตรการการล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว และจำกัดการเดินทางเข้าออก ในพื้นที่อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 16 ก.ค. รวม 5 วัน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งสิ้น 1,130 ราย และมีผู้เสียชีวิต 18 ราย มีเพียงวันที่ 14 ก.ค.เท่านั้นที่ไม่พบผู้เสียชีวิต
ทางด้านว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทรธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากการเร่งตรวจเชิงรุกของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในกลุ่มคลัสเตอร์ต่าง ๆ ทั้งคลัสเตอร์โรงงานที่อยู่ภายในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานี คลัสเตอร์มัรกัสยะลา คลัสเตอร์โรงเรียน และประชาชนทั่วไปจำนวน 1,200 คน ซึ่งสามารถคัดแยกและพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ แต่ทั้งหมดที่เจอเชื้ออยู่ในสถานกักกันตัว ซึ่งถือเป็นการทำงานเชิงรุกของเจ้าหน้าที่อย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังฝากไปยังประชาชนที่ยังคงใช้ชีวิตปกติ โดยไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการออกมาตรการควบคุมพื้นที่ ให้ทำตามาตรการที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการออกมาใช้ชีวิตประจำวันในพื้นที่สาธารณะและมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ตลาด ร้านค้า หรือการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ให้หลีกเลี่ยง เพราะที่ผ่านมายังคงพบผู้ติดจากการวมกลุ่มใจการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และขอให้มีการวางแผนการใช้ชีวิต โดยการออกจากบ้านยามที่จำเป็นเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้ที่เดินทางเข้าออกจังหวัดปัตตานี ได้เน้นย้ำให้ทางเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจสอบผู้ที่เดินทางเข้าออกอย่างเคร่งครัด โดยการตรวจเอกสารการอนุญาตเข้าออกทุกครั้ง และขอให้ประชาชนเดินทางเข้าออกเท่าที่มีเหตุจำเป็น .-สำนักข่าวไทย