เรือนจำกลางเชียงใหม่ พบผู้ติดเชื้อแล้ว 146 ราย

กทม. 26 เม.ย.-ราชทัณฑ์ รายงานผู้ต้องขังเรือนจำกลางเชียงใหม่ติดเชื้อโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 146 ราย ยืนยันยังไม่มีการระบาดในเรือนจำชั้นใน พร้อมเข้มมาตรการ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า

กรมราชทัณฑ์ รายงานสถานการณ์ ผู้ต้องขังติดเชื้อในเรือนจำกลางเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงเดิม (ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 จำนวน 37 ราย) และได้ทำการตรวจหาเชื้อซ้ำในระหว่างแยกกักตัว ยืนยันยังไม่มีการระบาดของเชื้อเข้าเรือนจำชั้นใน พร้อมเข้มมาตรการ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า คาดสถานการณ์คลี่คลายใน 28 วัน


วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 15.00 น. นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ
โควิด-19 ในเรือนจำกลางเชียงใหม่ ปัจจุบัน (26 เมษายน 2564) พบผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 146 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 2 ราย และผู้ต้องขัง 144 ราย เป็นการตรวจพบเชื้อใหม่ในวันที่ 25 เมษายน 2564 จำนวน 85 ราย ซึ่งเป็นผู้ต้องขังกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงเดิม โดยทั้งหมดยังอยู่ในระหว่างการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ จนกระทั่งมีการตรวจหาเชื้อซ้ำและพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังกล่าว ตามมาตรการเชิงรุกของกรมราชทัณฑ์ เพื่อสกัดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ให้เข้าสู่เรือนจำชั้นใน เพิ่มเติมจากมาตรการเดิมที่มีเพียงการกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ รับย้าย และผู้ต้องขังออกศาลเป็นระยะเวลา 14 วัน ที่จะทำให้ตรวจพบเชื้อและดูแลได้อย่างทันท่วงที โดยผู้ต้องขังที่ตรวจพบเชื้อทั้ง 144 ราย ปัจจุบัน ได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางเชียงใหม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในวันนี้ (26 เมษายน 2564) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้มอบหมายให้นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำกลางเชียงใหม่ พร้อมสั่งยกระดับเข้ม มาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คือ 1.BUBBLE AND SEAL คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า 2.SEPARATE การแยกกักผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้ที่มีประวัติเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังกลุ่มอื่น และ 3. Mobile Field Hospital การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเรือนจำ เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง หรือไม่มีอาการให้อยู่ในการควบคุมไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก รวมถึงการเร่ง SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เชิงรุกเพิ่มเติมในผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงทุกราย ซึ่งคาดว่า จะสามารถควบคุมสถานการณ์และกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ภายในระยะเวลา 28 วัน


อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ อยากให้ประชาชน รวมถึงญาติของผู้ต้องขังทุกคนอย่าได้วิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอให้มั่นใจว่า กรมราชทัณฑ์จะสามารถควบคุมและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ ไม่ให้เข้าสู่เรือนจำชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รถทัวร์โดยสารชนท้ายเทรลเลอร์ เสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก

รถทัวร์โดยสารชนท้ายรถบรรทุกเทรลเลอร์ บนถนนสาย 304 จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ไฟลุกไหม้รถทัวร์โดยสาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ชาวบ้านยอมรับค่าเยียวยาหลังละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดิน

ชาวบ้านยอมรับการเยียวยา บ้านละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดินใน จ.ระยอง หลังถมที่สูงมิดหลังคาของเพื่อนบ้าน และรับปากจะเร่งแก้ไขให้ทันหน้าฝนที่จะถึงนี้ แต่ชาวบ้านยังหวั่นใจ หากแก้ไขไม่ทันก็ยังจะเดือดร้อน น้ำจะไหลลงมาบ้านที่อยู่ต่ำกว่า

“พีช” หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายแล้ว

“นายกเบี้ยว” พร้อมลูกชาย หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายก่อนแล้ว จึงฝากจดหมายขอโทษไว้ ด้าน “กัน จอมพลัง” ยอมถอย ให้สองฝ่ายพูดคุย แต่ต้องเป็นรูปธรรม

ข่าวแนะนำ

รวบทันควัน คนร้ายบุกเดี่ยวชิงเงินธนาคาร

จับแล้ว คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ธนาคารกลางเมืองเชียงใหม่ ได้เงินสดกว่า 40,000 บาท ก่อนวิ่งหลบหนี ล่าสุดจนมุมตำรวจรวบตัวได้ที่ศาลาริมทางข้างถนน

โป๊ปฟรังซิส สิ้นพระชนม์แล้ว ขณะพระชนมายุ 88 พรรษา

สำนักวาติกัน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ของสำนักวาติกันว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันสิ้นพระชนม์แล้วในวันนี้

Pope inaugurated the Holy Year on Christmas Eve on December 24, 2024

เปิดพระประวัติโป๊ปฟรังซิส

วาติกัน 21 เม.ย.- เว็บไซต์ข่าวโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี (CNBC) ของสหรัฐ เปิดพระประวัติที่น่าสนใจ 10 ประการของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ที่สิ้นพระชนม์วันนี้ (21 เม.ย.68) ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ประการที่ 1 ทรงเป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันและเยสุอิตคนแรก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส มีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ เบร์โกกลิโอ ประสูติวันที่ 17 ธันวาคม 2479 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันคนแรกของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก แตกต่างจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาเกือบ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิตาลี ทรงมาจากนอกทวีปยุโรปในฐานะพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 และเป็นนักบวชคณะเยสุอิตคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ประการที่ 2  ทรงมีพื้นเพมาจากอิตาลี แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสประสูติในอาร์เจนตินา แต่ท่านมีมรดกทางชาติพันธุ์จากอิตาลี จากการที่บิดามารดาเป็นผู้อพยพชาวอิตาลี บิดาทำงานเป็นนักบัญชีในทางรถไฟ ขณะที่มารดาอุทิศตนให้กับการเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ประการที่ 3 ทรงศึกษาด้านเคมีและปรัชญา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสศึกษาปรัชญาและมีปริญญาโทในด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส ทรงศึกษาในโรงเรียนเทคนิคและได้ฝึกอบรมเป็นช่างเทคนิคเคมี ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งอัครสังฆมณฑลบิญญา เดโวโต […]