กรุงเทพฯ 11 ก.พ. – หุ้น OR ปิดวันแรก 29.25 บาท บวก 62.50% มาร์เก็ตแคปกว่า 3 แสนล้านบาท “จิราพร” ชี้เป็นหุ้นเติบโต ควบคู่ดูแลภาคสังคม ไม่ทิ้งบริบทหลัก “ราคาน้ำมัน”
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าเทรดวันแรก (11 ก.พ) ปิดตลาดที่ราคา 29.25 บาท สูงกว่าราคาเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ 18 บาท ถึง 62.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 47,360.57 ล้านบาท ในขณะที่ราคาเปิดวันแรกอยู่ที่ 26.50 บาท สูงกว่าไอพีโอถึง 47.22% ราคาสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 29.50 บาท และต่ำสุดที่ 22.10 บาท ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 339,592,500,000 บาท เพิ่มขึ้น 130,612,500,000 บาท จากมาร์เก็ตแคป ณ ราคาไอพีโอ อยู่ที่ 208,980,000,000 บาท
OR เป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าสูงเป็นลำดับ 2 ของตลาดหุ้นไทย และจะกลายเป็นหุ้นที่ถูกจัดเข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ภายในระยะเวลา 3 วัน ด้วยเกณฑ์ Fast-track นับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก หรือวันที่ 17 ก.พ.64 อีกทั้งยังคาดว่าจะได้เข้าดัชนี FTSE ในวันที่ 19-20 ก.พ.นี้ และดัชนี MSCI ในช่วงต้นเดือน มี.ค.64
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR กล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันสำคัญของการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ทั้งสำหรับ OR และตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อหุ้น OR ซึ่งเป็นหุ้น IPO ที่มีการทำรายการจองซื้อหุ้นที่สูงที่สุดในตลาดทุนไทย ด้วยจำนวนกว่า 530,000 รายการ และจำนวนผู้จองซื้อกว่า 480,000 คน ได้เข้าทำการซื้อขายเป็นวันแรก การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ OR สามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจไว้ คือ การเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนผ่านการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยยืนยันยังทำหน้าที่ร่วมดูแลทุกภาคส่วน เช่น ราคาน้ำมันผ่านกลไกตลาดเสรี ซึ่งจากที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูง จึงสามารถดำเนินการร่วมดูแลภาคประชาชนได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน จากการที่บริษัทมีขนาดใหญ่และมีพอร์ตธุรกิจทั้งน้ำมันและค้าปลีก มีโอกาสเติบโตสูง ทำให้สามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการทั้งหุ้นปันผลและหุ้นเติบโต
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ ลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและศูนย์กระจายสินค้า ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก และลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม (ถ้ามี) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการของโออาร์ และบริษัทย่อย นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จและความชำนาญสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะการซื้อกิจการหรือร่วมทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสร้างมาร์จินที่ดี ซึ่งมีเงินลงทุนส่วนนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ในแผนลงทุน 5 ปี (2564-2568) ที่บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 74,600 ล้านบาท
สำหรับแผน 5 ปี บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายสถานีบริการ PTT Station ปีละ 100 สาขา และคาเฟ่ อเมซอน ปีละ 400 สาขา และตั้งเป้าหมายที่จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจค้าปลีกจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาอยู่ที่ 33% จากปัจจุบันที่ 25% และธุรกิจต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13% จากปัจจุบันที่ 6-7% ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจน้ำมันเดิมที่มีสัดส่วน EBITDA สูงที่สุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ศึกษาโอกาสธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยปัจจุบัน OR มีบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) จำนวน 25 แห่ง และมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ. – สำนักข่าวไทย