กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – สนามหลวงแน่น พุทธศาสนิกชนแห่สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ วันสุดท้าย โดยวันพรุ่งนี้ (4 มี.ค.) อัญเชิญไปประดิษฐานที่ จ.เชียงใหม่
บรรยากาศมณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันนี้ (3 มี.ค.) เนืองแน่นด้วยพุทธศาสนิกชนตลอดทั้งวัน เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้ประชาชนใน กทม. เข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ ก่อนถึงเวลา 21.00 น. ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีอัญเชิญลงจากมณฑป ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายไปประดิษฐานที่ จ.เชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (4 มี.ค.) เวลา 08.00 น. โดยจะมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางร่วมอัญเชิญด้วยตนเอง
นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ความสำคัญของการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานในไทยเป็นการชั่วคราวนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงครัวพระราชทานไว้ให้กับประชาชนที่เดินทางมายังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงด้วย
นอกจากนี้ ทางกระทรวงวัฒนธรรมยังได้จัดเตรียมดอกไม้บูชาพระ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้ให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับสถานที่ประดิษฐานในอีก 3 จังหวัด เพื่อให้ประชาชนได้เข้าสักการะเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่ของชีวิต เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้สักการะพร้อมกันในครั้งเดียว ซึ่งตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ คาดว่าในแต่ละวันน่าจะมีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาที่ท้องสนามหลวงไม่ต่ำกว่าวันละ 100,000 คน อีกทั้งการอัญเชิญไปประดิษฐานยังภาคต่างๆ ยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว อาหาร ที่พัก ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเข้าสักการะไม่ต่ำกว่าแสนคนเช่นเดียวกับที่สนามหลวง
สำหรับกระบวนการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องด้วยข้อจำกัดเป็นวัตถุโบราณที่มีคุณค่าสูงมาก จะต้องมีการประสานงานผ่านทางรัฐบาลอินเดีย ต้องมีการเสนอต่อรัฐสภาก่อน และใน 1 ปี จะสามารถอัญเชิญออกไปประดิษฐานนอกประเทศได้เพียงปีละ 1 ประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ ด้านพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกเอง ก็ไม่ได้มีการอัญเชิญออกจากสถูปที่เมืองสาญจี มาเป็นระยะเวลาถึง 72 ปี การอัญเชิญออกมาครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ เพื่อให้ชาวไทยได้เข้าถึงสิ่งที่เป็นหลักฐานแสดงถึงการมีอยู่ขององค์ศาสดาพระพุทธศาสนา และเผยแผ่หลักธรรม เพื่อนำพาความสงบสุขให้แก่โลก การอัญเชิญมาได้สำเร็จ ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของชีวิต
สำหรับสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ ภาคเหนือสามารถเข้าสักการะได้ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2567 ที่หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ เวลา 09.00-20.00 น. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคม 2567 ที่วัดมหาวนาราม (วัดป่าใหญ่) จ.อุบลราชธานี เวลา 09.00-20.00 น. และที่สุดท้าย ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2567 ที่วัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) จ.กระบี่ เวลา 09.00-20.00 น. หลังจากนั้นในวันที่ 19 มีนาคม จะอัญเชิญกลับไปประดิษฐานที่ประเทศอินเดียตามเดิม.-สำนักข่าวไทย