ศูนย์การประชุมสิริกิติ์ 18 พ.ย.-ที่ประชุมรัฐมนตรีเอเปค เริ่มหารือฉันทามติ เป้าหมายกรุงเทพฯ เศรษฐกิจ BCG ร่วมผลักดันเขตการค้าเสรี FTA เอเปค เพิ่มช่องทางส่งออกช่วยเกษตรกร เน้นความมั่นคงอาหาร ลดต้นทุนพลังงาน เติมทุนให้รายย่อยในกลุ่มเอเปค
การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 29 อย่างไม่เป็นทางการช่วงที่ 1 มุ่งเน้นการเติบโตเศรษฐกิจอย่างสมดุล ครอบคลุม ยั่งยืน จึงต้องหารือตามฉันทามติ Bangkok Goals on BCG Model หรือเป้าหมายกรุงเทพฯ เศรษฐกิจ BCG ถัดจากนี้ไป นำไปสู่การลงนามในร่างปฏิญญาในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายนนี้
เมื่อที่ประชุมผู้นำออกแถลงการณ์ร่วม เพื่อส่งไม้ต่อให้ทุกหน่วยยงานของกลุ่มสมาชิกเอเปค การจัดตั้ง FTAAP ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เงื่อนไข WTO ตามแผนขับเคลื่อน หลัก 3 ประเด็น คือ Open. Connect. Balance. จึงต้องร่วมเปิดกว้างทางด้านการค้า การลงทุน เพื่อเชื่อมห่วงโซ่การผลิต แปรรูป การส่งออก ตามนโยบายสร้างความมั่นคงทางอาหาร ไทยจึงต้องใช้โอกาสนี้ส่งออกสินค้าเกษตร อาหารไปยังตลาดเอเปค
ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนอาหารโลก จากปัญหาโควิด-19 ประเด็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านบริการ การท่องเที่ยว เมื่อเอเปคเปิดกว้างร่วมกัน การท่องเที่ยวจะเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเอเปค หลายประเทศจึงใช้เวทีนี้หารือแบบทวิภาคีเปิดกว้างการเดินผ่านการตรวจลงตราวีซ่า และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ
ในขณะที่เวทีผู้นำเอเปคหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค เสนอจัดตั้งกองทุน เพื่อให้สมาชิกนำไปปล่อยกู้ด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน ดอกเบี้ยต่ำ การผลักดันความร่วมมือ การจับคู่ธุรกิจของภาคเอกชน สอดรับกับการเปิดโอกาสให้สตรี ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็ก กลุ่มเปราะบาง เมื่อได้การเติมทุน จะได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ทุกลุ่มได้ใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ในวันนี้ผู้นำเอเปคหลายประเทศใช้โอกาสนี้ นัดหารือแบบทวิภาคี ในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนกับประเทศคู่ค้า เพื่อต้นทุนปุ๋ย ต้นทุนพลังงาน การส่งเสริมการท่องเที่ยว การดึงดูดการลงทุนระหว่างกัน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า แผนงานในอีก 5 ปีข้างหน้า (2565-2570) ตั้งเป้าผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าให้ครอบคลุมร้อยละ 80 ของสัดส่วนการค้าไทยกับโลก ปัจจุบันการทำ FTA กับคู่ค้า มีสัดส่วนร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ทำ FTA กับประเทศทั่วโลก สูงถึงร้อยละ 96 เวียดนามร้อยละ 73 อินโดนีเซียร้อยละ 67 และฟิลิปปินส์ร้อยละ 71 ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งผลักดันการเจรจาจัดทำ FTA กับคู่ค้าเพิ่มขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้า บริการและการลงทุน ให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกรไทยได้ขายสินค้าไปต่างประเทศมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย
