กรุงเทพฯ 29 มี.ค. – ททท.
จับมือ พีทีที โกลบอล เคมิคอล และ มูลนิธิอีโคอัลฟ์ ผนึกกำลังแก้ปัญหาขยะในทะเลเปิดตัวโครงการ
UPCYCLING
THE OCEANS,THAILAND
นายยุทธศักดิ์
สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้ประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แต่ด้านความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวจากการประเมินของ World
Economic Forum (WEF) ได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35
สะท้อนให้เห็นความท้าทายด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว
และในแหล่งท่องเที่ยวหลายๆ แห่ง ยังคงประสบปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว
และเผชิญปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ขยะ น้ำเสีย โดยขาดการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ในการนี้ ททท. พีทีทีจีซี
และ ECOALF
Foundation ต่างมีความมุ่งมั่นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
และการให้คืนกลับแก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
จึงได้กำหนดแผนดำเนินโครงการร่วมกันภายใต้โครงการดังกล่าวที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดการขยะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในประเทศไทย
รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งและหมู่เกาะที่เกี่ยวเนื่องอย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยอาศัยความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งสร้างความตระหนัก แก่นักท่องเที่ยวและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรักษาสิ่งแวดล้อมและตอบแทนสังคม
เพื่อให้เกิดการจัดการแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอย่างยั่งยืนต่อไป
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ
พีทีทีจีซี กล่าวว่า พีทีทีจีซี มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการดำเนินกิจกรรมเพื่อชุมชน
สังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวทาง Sustainable Business ในการดำเนินโครงการ UPCYCLING THE
OCEANS, THAILAND เพื่อลดปริมาณขยะในทะเลและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล
ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการ สายใยซั้งเชือก PTTGC สร้างแหล่งอาศัยสัตว์น้ำชายฝั่งทะเล
ตลอดแนวชายฝั่งทะเล จังหวัดระยองที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการและที่สำคัญ
โครงการนี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกอย่างคุ้มค่าโดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนของบริษัทฯ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ประกอบการประมงในพื้นที่ในการช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พีทีทีจีซี
ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์จะเข้ามาร่วมรณรงค์การนำขยะขวดพลาสติกใสหรือขวด PET
และขยะจากพลาสติกโพลิเอทิลีน (PE) ในทะเลและพื้นที่ชายฝั่ง
มาใช้ซ้ำโดยการแปรรูปในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ด้วยนวัตกรรมการผลิตเป็นเส้นใยสังเคราะห์และพัฒนาและออกแบบเป็นเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นที่มีมูลค่าที่สูงขึ้นตามแนวคิดเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน
(Circular Economy) ซึ่งสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกอย่างคุ้มค่าและช่วยประหยัดพลังงานและน้ำในการผลิตในอุตสาหกรรมช่วยลดมลพิษ
ในทะเลและช่วยฟื้นฟูและดูแลแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม
นายฮาเวียร์
โกเยนิเช่
ประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิอีโคอัลฟ์ กล่าวว่า มูลนิธิอีโคอัลฟ์เป็นผู้ริเริ่มและดำเนินโครงการ UPCYCLING THE
OCEANS ที่ประเทศสเปน ตั้งแต่ปี 2558
โดยร่วมกับสมาคมเรือประมงนำขยะพลาสติกจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าภายใต้แบรนด์อีโคอัลฟ์
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และได้ต่อยอดความสำเร็จสู่ประเทศอื่นที่มีปัญหาด้านขยะในทะเลเช่นเดียวกันสำหรับประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีการดำเนินโครงการUPCYCLING THE OCEANS โดยมูลนิธิได้ร่วมมือกับ
ททท. และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด
(มหาชน) เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ดำเนินการจัดเก็บขยะในทะเลไทยอย่างเป็นระบบ
โดยตลอดกระบวนการการจัดเก็บ แปรรูป และพัฒนาเป็นเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นจะดำเนินการในไทยรวมทั้งการสร้างความตระหนักของปัญหาและผลกระทบของขยะในทะเลซึ่งมีขยะพลาสติกในมหาสมุทรทั่วโลกถึง
269,000 ตันหรือ 2.25 ล้านล้านชิ้น
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการนั้น จะเน้นไปที่การให้ความรู้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วไปที่สนใจร่วมเป็นอาสาสมัคร
เกี่ยวกับการเก็บขยะจากท้องทะเลและพื้นที่ชายฝั่ง
รวมถึงวิธีการคัดแยกขยะที่ถูกต้อง
เพื่อนำมาแปรรูปขยะพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพื้นที่เป้าหมายในการจัดเก็บขยะในทะเลไทยของโครงการ
UPCYCLING
THE OCEANS, THAILAND ได้แก่ ฝั่งทะเลตะวันออก (เกาะเสม็ด
จังหวัดระยอง) ฝั่งทะเลอ่าวไทย (เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี) และ
ฝั่งทะเลอันดามัน (จังหวัดภูเก็ต) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ
ซึ่งคาดหวังว่า โครงการ UPCYCLING THE OCEANS, THAILAND
จะเป็นการขับเคลื่อนที่นำไปสู่การลดปริมาณขยะในทะเลไทยอย่างยั่งยืนต่อไป.-สำนักข่าวไทย