กรุงเทพฯ 26 ธ.ค.- ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 4 ผู้บริหารบริษัทศรีสุวรรณทรานสปอร์ตคนละ 4 ปี พร้อมร่วมกันคืนเงินโจกท์รวม 76 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย กรณ๊ร่วมกันฉ้อโกงนักธุรกิจชาวอินโดนิเซีย
ศาลอุทธณ์นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 และนายบูดี้ ยูโวโน นักธุรกิจชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนเป็นโจทย์ร่วมยื่นฟ้องบริษัทศรีสุวรรณทรานสปอร์ตจำกัดและนายรุ่งโรจน์ สุวรรณศรี กรรมการบริษัทฯ นายสมศักดิ์ ศักดิ์เกษมชัยกุล นายสมศักดิ์ เนตรเนรมิต อดีตสจ. ชลบุรีและล่ามชาวอินโดนีเซียอีกหนึ่งคนเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,265,268,341 และขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน 76 ล้านบาทแก่โจทก์
โดยคดีนี้เหตุเกิดเมื่อ 20 มกราถึง 18 สิงหาคม 2548 เมื่อจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงนายบุรี ผู้บริหารบริษัทพีทีบูมิเรโจ ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐบาลอินโดนีเซียให้เป็นผู้นำเข้าน้ำตาลทราย จากต่างประเทศ โดยจำเลยระบุว่ามีน้ำตาลทรายจำนวนมากพร้อมขายให้กับโจทก์จำนวน 37,500 ตัน มูลค่า 9.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โจทก์หลงเชื่อยอมชำระเงินล่วงหน้า 76 ล้านบาทให้กับบริษัทสามเสนไอแมกซ์ จำกัด นอกจากนี้จำเลยยังร่วมกันปลอมใบตราส่งสินค้าหลายครั้ง จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามฐานใช้เอกสารปลอมบทหนักสุดจำคุกนายรุ่งโรจน์ จำเลยที่ 2 นายสมศักดิ์ จำเลยที่ 3 และนายสมศักดิ์ จำเลยที่ 4 คนละ 4 ปีแล้วและปรับบริษัทศรีสุวรรณทรานสปอร์ตจำกัดเป็นเงิน 8000 บาทและให้จำเลยที่ 1 – 4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่โจทก์ 76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นล่ามศาลยกฟ้อง ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง
โดยศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลของโจทก์และจำเลยในชั้นต้นแล้ว พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่-4 คนละ 4 ปีและให้จำเลย 1-4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่โจทก์ 76 ล้านบาทพร้อมอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งภายหลัง ฟังคำพิพากษานายบูดี้ ระบุว่ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากรอคอยความยุติธรรมจากกระบวนการของไทยมานานถึง 11 ปีและที่ผ่านมาตนและบริษัท ถูกทางการมาเลเซียขึ้นแบล็คลิสต์สร้างความเสียหายอย่างมาก เพราะถูกมองว่าเป็นคนขี้โกง เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นระบุฝ่ายตนเป็นฝ่ายถูกก็จะนำคำพิพากษาดังกล่าวไปยื่น ต่อทางการมาเลเซียเพื่อขอให้ลบชื่อของตนและบริษัทฯ จากแบคริสทั้งหมดพร้อมขอให้ศาลไทยดำเนินการบังคับคดีให้จำเลยทั้งสี่คนชดใช้ค่าเสียหาย 76 ล้านบาทแก่ตนได้ทันทีเพราะที่ผ่านมาได้ความเดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากธนาคารในอินโดนีเซียไม่ปล่อยกู้จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว.-สำนักข่าวไทย