รร.อีสติน 14 มี.ค. – นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมนี้ และคาดปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในเดือนกันยายนนี้ โดยเชื่อว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นถึง 3 ครั้งตามที่ตลาดคาด เพราะจะเป็นการปรับขึ้นเร็วเกินไป ซึ่งจะมีผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับเข้าสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเร็วเกินไป และจะไม่เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ เพราะจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงขึ้น และกำไรบริษัทต่าง ๆ ของสหรัฐที่ไปลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าลดลงในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามทั้งการเลือกตั้งในหลายประเทศของยุโรปและขั้นตอนการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ
ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดกับไทยกรณีเฟดขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าจะเป็นในเชิงบวก เพราะเมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง มีผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยและภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยว จากปัจจัยล่าสุดทำให้กสิกรไทยปรับประมาณการค่าเงินบาท ณ สิ้นปีนี้ อยู่ที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมอยู่ที่ 36.50 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เพราะไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของจีดีพี
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดว่าจะทรงตัวที่ร้อยละ 1.50 ต่อไปทั้งปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ซึ่งหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยลงอาจทำให้เกิดการออกไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กังวล หรือหากจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังติดตามความคืบหน้าการปฎิรูปประเทศไทยปีหน้าว่าเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากเป็นรูปธรรมก็จะดึงความเชิ่อมั่นและการลงทุนต่างชาติกลับเข้าไทยได้ เพราะขณะนี้การลงทุนจากต่างชาติยังชะลอตัวต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคาดการณ์ขยายตัวได้ร้อยละ 3.3 เช่นเดิม. -สำนักข่าวไทย