ม.เกษตรฯ 17 มี.ค.-นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ” ระบุ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกภาคการเกษตร เสริมสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี เพิ่มโอกาสในการพัฒนาและการแข่งขัน พร้อมย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญสวัสดิการประชาชน และจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ” ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บุคลากรทางการศึกษา นิสิต เกษตรกร ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้รับทราบวิสัยทัศน์ในนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และบทบาทของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนประเทศด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้โลกต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งสภาพอากาศ ภัยก่อการร้ายและความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นทุกคนต้องคิดและรู้เท่าทัน ปรับเปลี่ยนตัวเองในทุกด้าน ทั้งความเป็นอยู่ การประกอบธุรกิจ ขณะที่เรื่องเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าสูงมาก ทุกคนควรใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
“วันนี้ ทุกคนต้องไม่หยุดนิ่ง ที่ผ่านมามีคนพยายามเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ต่อต้าน แต่ต้องอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง อย่าบิดเบือน ซึ่งหลายประเทศสามารถแก้ปัญหาได้ เว้นแต่ไทยไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้องมีการจัดระเบียบ ขอยืนยันว่าผมทำเพื่อคน 70 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันลดความขัดแย้ง ถ้าทุกคนช่วยกัน ก็จะเกิดความปรองดอง และอย่าไปทำตามสิ่งที่คนไม่หวังดีชักชวน ซึ่งการแก้ปัญหาของรัฐบาลต้องดำเนินการเรื่องง่ายก่อนเรื่องยาก และพร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า มีคนบางกลุ่ม พยายามแอบอ้างว่ารู้จักตน เพื่อนำไปแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งขอยืนยันว่าตนไม่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเอื้อประโยชน์ให้ใคร ขออย่าเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง พร้อมย้ำว่า ตนพยายามทำสิ่งที่ดีให้กับประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่มีคนบางกลุ่มพยายามนำเสนอและพูดแต่สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งรัฐบาลต้องทำหน้าที่ชี้แจงทั้งในประเทศและเวทีนานาชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
“วันนี้ไทยต้องไปชี้แจงเรื่องสิทธิมนุษยชน ไป 3 วันแล้ว เราส่งผู้แทนไป 30 คน อีกพวกหนึ่งบอกว่าไปทำไม ไปตั้ง 30 คน ไปแค่ 2 คนก็พอ ได้สั่งปลัดกระทรวงยุติธรรมไปชี้แจงในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการใช้มาตรา 44 พ.ร.ก. พ.ร.บ. และชี้แจงสถานการณ์ในประเทศว่าเกิดอะไรบ้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เป็นปัญหาอีกสิ่ง คือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจากการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย พบว่ายังมีประชาชน 14 ล้านคน มีรายได้ไม่ถึง 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งรัฐบาลต้องหาสวัสดิการต่าง ๆ มาช่วยเหลือ ทั้งการศึกษาและสาธารณสุข ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดลดสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล และจะปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดการปรับขึ้นภาษีกับประชาชน
“อย่านำเสนอข่าวเรื่องการปรับขึ้นภาษี ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยคิดจะลดสิทธิประโยชน์ใด ๆ สิ่งใดที่ทำไปแล้วมีความขัดแย้งสูง ก็จะไม่ทำ รัฐบาลไม่คิดจะออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างไร โดยรัฐบาลได้นำกฎหมายเก่ากว่า 3,000 ฉบับ มาทบทวน เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เดินไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และตั้งแต่เข้ามา ได้ขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เน้นการผลิตและใช้เทคโนโลยี เครื่องจักร ขณะที่แรงงานก็ต้องพัฒนาตนเอง เพื่อให้เป็นหัวหน้างานในอนาคต
“ขอแนะนำเกษตรกรต้องปรับตัวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ปรับเปลี่ยนจากผู้ผลิต ไปเป็นผู้ประกอบการ และต้องปลูกพืชให้เกิดความเหมาะสม พร้อมแนะนำให้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่มีรายได้ ยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา และใช้แนวทางการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน และสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยคาดหวังปี 2564 จะเห็นการพัฒนาทั้งในเรื่องของคน โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น รถไฟ ต้องเกิดขึ้นให้ได้ ทั้งนี้เป็นห่วงกรณีหนอนหัวดำทำลายพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าว จึงได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุการเกิดปัญหา รัฐบาลไม่ห้ามการเพาะปลูกข้าวนาปรัง แต่ต้องให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ใช้ในการเกษตรที่อาจไม่เพียงพอกับทุกพื้นที่ เพราะต้องมีน้ำไว้สำหรับการอุปโภคบริโภคด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นอจกากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกทางราชการ ว่า บางคนต้องการความสะดวก ก็เสนอเงินให้ และท้ายที่สุดการทุจริตยังมีอยู่ ถือเป็นการสมยอมกัน
“วันนี้ยังช้าอยู่ จึงเป็นบ่อเกิดในการเรียกหรือให้ผลประโยชน์ ต่อไปใครเรียกรับผลประโยชน์ให้มาแจ้งที่ศูนย์ดำรงธรรม หรือจะแจ้งมาที่นายกฯ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่เช่นนั้นก็จะพูดกันไปทำให้เสียหายว่าประเทศไทยขี้โกงทั้งประเทศ แบบนั้นไม่ใช่ เราต้องแก้ปัญหาภายใน อย่าไปตะโกนให้โลกรู้ ประจานกันอยู่ได้ ไม่ยอมทำสิ่งที่ดีกลบสิ่งที่ไม่ได้ ผมยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งสิ่งที่ไม่ดีให้อยู่สบาย ๆ เพราะต้องมีการลงโทษกันต่อไป แต่ก็โพนทะนากันทั่วไปหมด เขาก็ฟังและดูกันทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย