รร.รามาการ์เดนส์ 1 ก.พ. – นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่าง ๆ มีการรายงานถึงระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบธนาคารพาณิชย์ว่าเพิ่มขึ้นสวนกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจขณะนี้ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่เอ็นพีแอลที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยถือว่าเป็นวัฎจักรปกติของธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วที่เอ็นพีแอลมักจะมีช่วงเวลาการเกิดขึ้นเหลื่อมล้ำกว่าสภาพเศรษฐกิจประมาณ 5-6 เดือนถึง 1 ปี และการที่เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น เอ็นพีแอลก็จะทยอยปรับตัวลงและลดลงในช่วงปลายปีตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเต็มที่ เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาหลายเรื่องทั้งปัญหาเอ็นพีแอล ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 ซึ่งประมาณการปรับเพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มประจำปีงบประมาณ 2560 กว่า 190,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องการเห็นเศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพของประเทศ คือ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4 ต่อปี แต่ทั้งหมดอยู่ที่ภาคเอกชนคิดว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้วจะลงทุนหรือไม่ ซึ่งการที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมินว่าการลงทุนภาคเอกชนปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 2.7 ถือว่าเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก เพราะปีที่เศรษฐกิจไทยบูมมาก ๆ อัตราการขยายตัวการลงทุนของภาคเอกชนเคยสูงถึงร้อยละ 18-20 อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมีปัจจัยที่พิจารณาตัดสินใจที่จะลงทุนหรือไม่เป็นของตัวเอง แต่ละอุตสาหกรรมมองต่างกัน หลายอุตสาหกรรมระบุว่าจะมีการขยายการลงทุน แต่บางอุตสาหกรรมยังไม่มีการลงทุน มุมมองแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดที่รัฐบาลพยายามย้ำ คือ การลงทุนของภาคเอกชนไม่เพียงขยายกำลังการผลิตเท่านั้น ต้องพิจารณาและคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันด้วย โดยจะต้องลงทุนเพื่อปรับระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย
นายอภิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่ากระทรวงการคลังออกหนังสือเรียกให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนำเงินสภาพคล่องส่วนเกิน ส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ว่า ก่อนที่กระทรวงการคลังจะออกหนังสือเรียกให้กองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ส่งเงินเข้าคลังเพื่อเป็นรายได้นั้น ทางกระทรวงการคลังร่วมหารือกับคณะกรรมการกองทุนมาก่อนแล้ว และกระทรวงการคลังดำเนินการลักษณะนี้กับหลายกองทุนหนุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน ไม่ใช่เรียกส่งเงินคืนเฉพาะกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเท่านั้น
ทั้งนี้ ปกติทุกกองทุนหมุนเวียนจะต้องกำหนดวงเงินสูงสุดที่จำเป็นจะต้องใช้ โดยคณะกรรมการแต่ละกองทุนจะพิจารณาวงเงินที่จะต้องใช้จากความจำเป็นและการใช้เงินในอดีตที่ผ่านมา หากกองทุนใด ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็จะไม่มีการดำเนินการเรียกให้นำส่งเงินเข้าคลัง แต่ถ้าหากกองทุนใดมีเงินเหลือและใช้ไม่ครบก็จะออกหนังสือเรียกให้กองทุนนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินส่งเป็นรายได้เข้าคลัง เพื่อพิจารณานำใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ต่อไป แทนที่จะเก็บไว้ที่กองทุนแล้วนำไปฝากธนาคาร ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ต้องการเห็นภาพดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เมื่อนำส่งเงินเข้าเป็นรายได้เข้าคลังแล้ว เงินไม่พอใช้ก็สามารถขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มจากกระทรวงการคลังได้ในภายหลัง ดังนั้น เงินที่เรียกคืนไม่ได้หายไปไหน
ส่วนกรณีกลุ่มคนพิการไปร้องศาลปกครองให้ระงับคำสั่งของกระทรวงการคลังที่เรียกให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินเข้าคลังนั้น ทางกระทรวงการคลังยืนยันว่า ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการฟ้องร้องต่อศาลก็สามารถดำเนินการได้ตามสิทธิ
นายอภิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีการนำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี ของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เพื่อที่จะนำไปส่งมอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งกรมศุลกากรตรวจสอบการนำเข้าล็อตแรกที่ขนส่งมาทางเรือพบว่าเป็นเรือขนส่งมาจากประเทศมาเลเซียและบริษัทผู้นำเข้ายื่นใบขนสินค้ากับกรมศุลกากร โดยนำใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ที่ระบุว่าเป็นรถเมล์ที่ประกอบในมาเลเซียร้อยละ 40 เพื่อขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนนั้น แต่กรมศุลากรเชื่อว่าไม่ถูกต้อง จึงมีการทักท้วง ส่วนการนำเข้าชิปเม้นท์อื่น ๆ บริษัทผู้นำเข้าสำแดงว่าเรือมาจากประเทศมาเลเซีย กรมศุลกากรก็ออกให้ตามปกติไม่ได้มีอะไร ซึ่งบริษัทนำรถยนต์ออกไปแล้วกว่า 300 คัน การจะให้กรมศุลกากรยืนยันแหล่งกำเนิดสินค้าไม่ใช่หน้าที่ของกรมศุลกากร จึงไม่สามารถทำได้. -สำนักข่าวไทย