กทม. 23 ก.พ.- นักกฎหมายยืนยันข้อสัญญาตกลงการแต่งงานระหว่างหญิงไทยวัย 31 ปี กับ ชายชาวบังกลาเทศ ไม่มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย
ความคืบหน้ากรณีชายชาวบังกลาเทศ อายุ 40 ปี เกิดข้อพิพาทกับหญิงไทย อายุ 31 ปี เรื่องไม่ยอมตกลงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา แม้ว่าให้เงินสด 200,000 บาท เป็นของหมั้น และโอนเงินอีก 800,000 บาท เป็นค่าสินสอดไปแล้วจนฝ่ายชายยกเอาข้อตกลงที่ทำต่อหน้าพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (สน.ลุมพินี) เป็นบันทึกประจำวัน ว่าหากฝ่ายหญิง ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จะต้องถูกฟ้องร้องให้จ่ายค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมถูกดำเนินคดีอาญา
นายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช นักฎหมายและทนายความผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อตกลงลักษณะดังกล่าว ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม จึงถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะไปตั้งแต่ต้น และตามกฎหมายครอบครัว ถือว่าการแต่งงานอยู่กินใช้ชีวิตร่วมกันต้องใช้ความรัก ความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกัน ของคน 2 คน ไม่ใช่การมีสภาพบังคับในลักษณะให้คน 2 คน ต้องมาอยู่กินด้วยกัน ดังนั้นเงื่อนไขการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จึงตกลงไปพร้อมกับข้อตกลงแต่งงาน
ส่วนด้านคดีอาญาที่ปรากฏหลักฐานว่าฝ่ายชายมีการแจ้งความดำเนินคดีฝ่ายหญิงฐานฉ้อโกง กรณีปกปิดว่าเคยมีสามี รวมทั้งบุตร มาตั้งแต่คบหากันนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากนั้นฝ่ายชายก็ยังโอนเงิน จำนวน 800,000 บาท ให้ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นค่าสินสอด แสดงถึงเจตนาของฝ่ายชายที่จะพยายามแต่งานกับฝ่ายหญิง ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุฉ้อโกง แน่นอน
สำหรับกรณีที่หญิงรายดังกล่าวได้มีการแต่งงานทางศาสนาอิสลาม รวมทั้งอยู่กินกับชายชาวบังกลาเทศไปแล้วในระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากันได้ ก็ยังไม่มีสภาพเป็นการแต่งานตามกฎหมายไทย ทั้งคู่จึงไม่ถือเป็นคู่สามีภรรยาตามกฎหมาย จึงเชื่อว่าหากฝ่ายหญิงคืนเงินของหมั้นและค่าสินสอดทั้งหมดให้ฝ่ายชายตามที่เคยระบุมานั้นเรื่องทั้งหมดน่าจะยุติด้วยดี
ขณะที่คดีความข้อพิพาท เรื่องการแต่งงานนั้น เคยมีลักษณะที่ฝ่ายชายฟ้องร้อง ฝ่ายหญิงเพื่อเรียกค่าเสียหายในการเตรียมงานแต่งงานตามจริง หลังจากการสมรสไม่เกิดขึ้นตามกำหนดการ.-สำนักข่าวไทย