เฟซบุ๊กรายงานที่สุดแห่งปี 2020

กรุงเทพฯ 8 ธ.ค.- เฟชบุ๊กรายงาน “ที่สุดของปี 2020” โควิด-19 การชุมชนุม สิ่งแวดล้อม ติดอันดับเรื่องที่คนสนใจมากที่สุด


เฟชบุ๊กผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียรายใหญ่ รายงานสรุป “ที่สุดของปี 2020” (2020 Year in Review) ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนได้ใช้งาน เฟชบุ๊ก เพื่อเชื่อมต่อถึงกันอย่างมีความหมายอย่างไรบ้าง โดยรายงานปีนี้ประกอบขึ้นจาก 20 เหตุการณ์สำคัญของปีที่จัดเรียงตามธีมของเนื้อหาหลักหกประเภท การตื่นตัวด้านสังคม ในปี 2020 นี้ เราเห็นถึงความตื่นตัวและการให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อผู้คนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชุมชนผู้ใช้งานทั่วโลกของเฟชบุ๊กได้ยกเรื่องที่สำคัญต่อพวกเขาขึ้นมาพูดคุย เช่นกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ เป็นต้น โดยสามสัปดาห์หลังจากที่เขาเสียชีวิต บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ Black Lives Matter นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า หรือเฉลี่ยเป็นการพูดถึงบน Facebook ถึง 7.5 ล้านครั้งในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการนำหัวข้อ #whatshappeninginthailand มาใช้อย่างมีวัตถุประสงค์และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้คน หรือการพูดคุยแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับเหตุการณ์น่าสลดใจที่เบรุต ล้วนแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานชาวไทยให้ความสนใจกับเรื่องทางสังคมและกล้าที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านั้น 

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับชุมชน ผู้คนยังใช้ เฟชบุ๊กเพื่อช่วยเหลือชุมชน แม้ว่าทางกายภาพจะห่างไกลกันก็ตาม โดยจะเห็นได้จากการที่ผู้ใช้งานหันไปอุดหนุนสินค้าและบริการท้องถิ่น ดังที่สะท้อนให้เห็นว่ามี Stories ทั่วโลกกว่า 47 ล้านStories ที่ถูกสร้างขึ้นบน Instagram ติดสติกเกอร์ “Support Small Business” ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 650,000 คน ในประเทศไทยเขียนโพสต์และคอมเมนต์ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์บน Facebook ในช่วงล็อกดาวน์เดือนเมษายน ก่อนที่จะถึงวันหยุดจริง 


และเรื่องที่สร้างความเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิตคนมากที่สุดคือ โควิด-19 ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แฮชแทกที่เกี่ยวข้องกับ โควิด-19 ในประเทศไทย 5 อันดับแรกคือ #workfromhome #stayhome #stayathomechallenge #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ และ #socialdistancing ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนยังสามารถหาทางเชื่อมต่อถึงกันได้ในยุคของโรคระบาดทั้งๆ ที่ต้องเจอกับข้อจำกัดต่างๆ นอกจากนี้สติกเกอร์ Stay Home ของ Instagram ยังถูกส่งมากกว่า 100 ล้านครั้งทั่วโลกในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดตัว และธุรกิจต่างๆ ก็ใช้ประโยชน์จากสติ๊กเกอร์ Food Order บนแพลตฟอร์ม  

เรื่องเพลงและดนตรี สำหรับประเทศไทยแล้ว ดนตรีถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของประเทศนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างบทสนทนาออนไลน์ โดย แบล็กพิงก์ เซเลน่า โกเมซ และเลดี้ กาก้า เป็นนักร้องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปี2020 นอกจากนี้ นักร้องสาว คัง ซึล-กี และค่ายเพลงอย่าง SM Town ก็เกาะกระแสเข้ามาด้วย  เพลงไทยก็ไต่อันดับขึ้นมาบนแพลตฟอร์มต่างๆ ของ  เฟชบุ๊ก เช่น Slot Machine นั้นติดเทรนด์ตลอดปี 2020 ขณะที่แฮชแทกที่ไวรัลในปีนี้ยังรวมไปถึง #เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น และ #ลิลลี่ได้หมดถ้าสดชื่น ด้วย 

ผู้เป็นตำนาน หลายคนใช้  เฟชบุ๊ก เป็นพื้นที่เพื่อรำลึกผู้ที่จากไปแต่ยังทิ้งความทรงจำไว้เป็นตำนานบนโลกใบนี้ การเสียชีวิตของโคบี้ ไบรอันต์ เป็นหัวข้อที่มีการพูดถึงมากที่สุดบน  เฟชบุ๊ก ในปีนี้ทั่วโลก โดยโพสต์และ Stories 3 อันดับแรกมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ การจากไปอย่างกระทันหันของนักแสดงหนุ่ม แชดวิก โบสแมน ก็ถือเป็นอีกเรื่องน่าสลดของปี เมื่อมองการสวมบทบาทของเขาในหนัง แบล็คแพนเธอร์ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียมทางสีผิว 


การตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนผู้ใช้งาน  เฟชบุ๊กได้ร่วมกันสร้างโลกที่ดีกว่าในปี 2020 นี้ โดยมีผู้คนกว่า 2.5 ล้านคนทั่วโลกร่วมบริจาคเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากไฟป่าในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเป็นการระดมเงินช่วยเหลือครั้งที่ใหญ่ที่สุดของเฟชบุ๊ก.- สำนักข่าวไทย.

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

สถาบันประสาทฯ ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เหตุเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ

สถาบันประสาทวิทยา ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เพราะเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ มีทั้งหลอดเลือด และกระดูก ไม่ได้มีแต่กล้ามเนื้อ นวดผิดชีวิตเปลี่ยน ตั้งแต่อัมพฤกษ์ อัมพาต จนเสียชีวิต

“แม่น้องผิง” ติดใจการตายของลูกสาว วอนร้านนวดรับผิดชอบ

แม่นักร้องสาว “ผิง ชญาดา” ติดใจการเสียชีวิตของลูกสาว อยากให้เจ้าของร้านนวดแสดงความรับผิดชอบ เผยมีลูกสาวคนเดียว เป็นเสาหลักของครอบครัว ด้านเพจ “หมอไทยสตอรี่” เตือนนวดบริเวณคอผิดวิธี เสี่ยงเส้นเลือดเสียหาย-กระดูกสันหลังเคลื่อน-เส้นประสาทถูกทำลาย แนะหากมี 4 อาการหลังนวด ควรพบแพทย์ด่วน

ตร.ทองหล่อ บุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับ พบยาเสพติด

ตำรวจทองหล่อบุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับในโรงแรมย่านคลองเตยเหนือ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ตรวจค้นพบยาเค ยาอีจำนวนหนึ่ง จึงคุมตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดไปตรวจหาสารเสพติด

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเสียชีวิตแล้ว

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเข้าร้านนวดแบบบิดคอ ก่อนมีอาการตัวชา-ร่างกายอ่อนแรง กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว