ทำเนียบรัฐบาล 22 ก.ค.-ที่ประชุม ศบค.ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ยืนยันเพื่อควบคุมโรค ไม่ได้ห้ามชุมนุม พร้อมอนุญาตต่างชาติบางกลุ่ม -แรงงานต่างด้าวเข้าไทยได้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ ให้เกิดสมดุลด้านสาธารณสุข
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธานประชุม ว่า สถานการณ์โควิด-19 วันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเป็น 3,261 ราย หายป่วยแล้ว 3,105 ราย รักษาตัวอยู่ 98 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 58 รายเช่นเดิม โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากอียิปต์ 4 ราย ทั้งหมดเป็นนักศึกษาชายไทย กลับถึงไทยวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา เข้าพักในสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อวันที่ 21 กรกฎาคม
โฆษกศบค. กล่าวว่า 1 รายมาจากสหรัฐอเมริกา เป็นหญิงไทย อายุ 36 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงไทย 10 กรกฎาคม เข้าพักในสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ที่กรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อ 20 กรกฎาคม แต่ไม่มีอาการ และอีก 1 รายมาจากเยอรมัน เป็นหญิงไทยอายุ 57 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงไทย 16 กรกฎาคม เข้าพักในสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ที่กรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อวันที่ 20 กรกฎาคม ไม่มีอาการ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อ 15,093,712 ราย เสียชีวิต 619,467 ราย โดยสหรัฐฯ ติดเชื้อมากเป็นอันดับหนึ่ง 4,028,569 ราย เสียชีวิต 1,997,033 ราย ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 103
“ที่ประชุมศบค.เห็นชอบให้ต่ออายุพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานฉุกเฉิน ที่จะหมดอายุวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ออกไปอีก 1 เดือน เนื่องจากสถานการณ์ทั่วโลกยังคงระบาดอย่างรุนแรง อีกทั้งมีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนผันเดินทางเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง และจะอนุญาตชาวต่างชาติเข้ามาในไทยเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องมีอำนาจตามกฎหมายเชิงป้องกันการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ อาทิ ควบคุมการเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง การจัดทำระบบติดตามตัว การกักตัว การเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย และมาตรการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งจำเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการในลักษณะรวมศูนย์ที่ปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพและบูรณาการตำรวจ ทหาร พลเรือนได้ ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมความพร้อมช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่วิถีชีวิตใหม่ จนกว่าจะมีกฎหมายฉบับอื่นมารองรับในอนาคต” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.เห็นชอบหลักการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติคือ ลาว เมียนมา กัมพูชาเดินทางเข้าไทย เนื่องจากขณะนี้มีความต้องการใช้แรงงานจำนวนมากในกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีกลุ่มที่มีใบอนุญาตการทำงานและวีซ่าต้องการกลับเข้ามาทำงาน จำนวน 69,235 คน และกลุ่มแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานและไม่มีวีซ่า แต่ต้องการเข้ามาจำนวน 42,168 คน รวมทั้งหมดกว่า 1 แสนคน ซึ่งได้หารือกันว่าจะกักกันตัวในสถานที่ที่หน่วยงานหรือองค์กรจัดพื้นที่ขึ้นหรือ Organizational Quarantine เพื่อควบคุมป้องกันโรคและลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ โดยให้กระทรวงแรงงานรับไปดำเนินการต่อไป
“ศบค.อนุมัติหลักการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทย ซึ่งมีกลุ่มชาวต่างชาติต้องการเข้ามาจำนวนมาก และจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยต้องมีแนวทางควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด อาทิ ตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง มีกำหนดการอยู่ในไทยอย่างชัดเจน ทำประกันสุขภาพ และการร่วมงานแสดงสินค้าต้องจัดพื้นที่การเจรจาของชาวต่างชาติออกจากพื้นที่เจรจาชาวไทย นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย โดยต้องมีข้อปฏิบัติการป้องกันการแพร่ระบาด อาทิ มีใบรับรองแพทย์ ประกันสุขภาพและต้องมีเจ้าหน้าที่ติดตามคณะตลอดเวลา” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนกลุ่มต่างชาติ Medical and wellness program plus ที่เข้ามารับการรักษาในไทยและพักอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว 14 วัน สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวต่อในประเทศไทยได้ ส่วนผู้ที่ถือบัตรสมาชิกพิเศษประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ อีลิท การ์ดที่มีทั้งหมดกว่า 10,000 ราย จะนำร่องให้เข้าไทย 200 ราย โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม มาตรการผ่อนคลายต่าง ๆที่ ศบค.อนุมัติหลักการในวันนี้(22 ก.ค.) จะเริ่มบังคับใช้ได้ภายหลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแนวทางข้อปฏิบัติต่าง ๆ เสร็จ แล้ว
“นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ให้กำลังใจประชาชนและบุคคลากรทางการแพทย์ให้อดทน อย่าท้อถอย โดยให้ยึดหลักการคือการจัดสมดุลให้ได้ระหว่างด้านสาธารณสุขกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งต้องติดตามการดำเนินการตามสถานการณ์ความเป็นจริงและสื่อสารกับประชาชน” โฆษกศบค. กล่าว
ด้านพล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 กล่าวว่า จากการหารือฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าต้องการมีกฎหมายพิเศษใช้ควบคุมโรคอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์โลกยังมีผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 2 แสนคน
เลขาธิการสมช. กล่าวว่า ขณะนี้ไทยเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น อาทิ การรับแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานและอนุญาตให้ต่างชาติ เข้ามาจัดประชุมและถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสาธารณสุขด้วย โดยเฉพาะการต้องกักตัว 14 วัน ที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษมาดูแล และเพื่อให้เกิดความสบายใจการต่ออายุออกปีอีก 1 เดือน จะไม่บังคับใช้ข้อกำหนดตามมาตรา 9 ทั้ง 6 ข้อ
“ศบค.ไม่ได้ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อห้ามการชุมนุม แต่แสดงเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อใช้ควบคุมโรคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้ชุมนุมได้โดยอิสระ การชุมนุมต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันอังคารหน้า(28 ก.ค.) ส่วนผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำอยากให้ทำความเข้าใจว่าเหตุผลที่ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อความจำเป็นในการควบคุมโรคเท่านั้น” พล.อ. สมศักดิ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย