กรุงเทพ ฯ 20 ก.ค. – กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี ระดมทุนไม่เกิน 2,800 ล้านบาท เข้าลงทุนในสิทธิประโยชน์การขายไฟฟ้าโรงไฟฟ้าชีวมวล รวม 25.5 MW ย้ำจุดเด่นด้านสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวประมาณ 20 ปี เตรียมเปิดจองซื้อ 4-7 ส.ค. 2563 นี้
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยว่า บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (KPP) ซึ่งกลุ่มน้ำตาลครบุรี ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ได้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ กองทุน KBSPIF เพื่อลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภทโรงไฟฟ้า ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ และให้โอกาสผลตอบแทนที่ดีแก่กองทุน KBSPIF โดย KPP จะนำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อลงทุนขยายกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลแห่งใหม่ในอนาคต ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่เกิดจากกระบวนการผลิตน้ำตาลเป็นประโยชน์สูงสุด และช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประเทศ
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่ใช้เชื้อเพลิงจากกากอ้อยของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด หรือ KPP เป็นโรงไฟฟ้าระบบผลิตพลังงานความร้อนและไฟฟ้าร่วมกัน (Cogeneration System) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 73 เมกะวัตต์ โดยผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้า KPP มีอัตราเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (2560-2562) โดยมีรายได้รวมจากการจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญาในปี 2560 รวมทั้งสิ้น 689.21 ล้านบาท เพิ่มเป็น 901.59 ล้านบาทในปี 2561 และในปี 2562 ที่ผ่านมา มีรายได้ 972.71 ล้านบาท
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน KBSPIF กล่าวว่า KBSPIF จะเสนอขายหน่วยลงทุนเป็นครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไป วงเงินระดมทุนไม่เกิน 2,800 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนในสิทธิในผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของ KPP ในอัตราร้อยละ 62 ของรายได้ตามสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ (รายได้เฉพาะส่วนที่คำนวณจากรายได้ในส่วนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและส่วนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาเฉลี่ยถ่านหิน) และรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ บมจ. น้ำตาลครบุรี อีกจำนวน 3.5 เมกะวัตต์ รวมเป็น 25.5 เมกะวัตต์ โดยกองทุน KBSPIF จะมีระยะเวลารับโอนผลประโยชน์จากการจำหน่ายไฟฟ้าของ KPP ระยะเวลาประมาณ 20 ปี นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนฯ
ทั้งนี้ กองทุน KBSPIF มีนโยบายจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ซึ่งกำหนดการจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ได้ปรับปรุงแล้ว โดยจากการประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 8.95 (จากเงินปันผลร้อยละ 6.24 และจากเงินลดทุนร้อยละ 2.71) โดยประมาณการอัตราผลตอบแทนภายใน ประมาณร้อยละ 7.00 กำหนดราคาเสนอขายหน่วยลงทุนอยู่ที่ 10 บาทต่อหน่วย และจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำในการจองซื้อที่ 500 หน่วย และเพิ่มครั้งละ 100 หน่วย ซึ่งจะเริ่มเปิดให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ที่สนใจสามารถจองซื้อหน่วยลงทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 4-7 สิงหาคม 2563 ที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างแน่นอน.-สำนักข่าวไทย