สธ. 25 มิ.ย.- รองปลัดสธ. แจง มาตรการทราเวล ดับเบิ้ล ย้ำต้องรักษาสมดุล การเดินทางระหว่างประเทศ ยังเป็นแค่ธุรกิจ ไม่ใช่การท่องเที่ยว พร้อมตั้งรอศบค. พิจาณาหลักเกณฑ์รายละเอียด เบื้องต้น มีญี่ปุ่น จีน แส่งหนังสือทางการเข้ามาสนใจร่วมทราเวล บับเบิ้ลกับไทย
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการประมวล สถานการณ์ของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจะทำให้ไทย มีผู้ป่วยเป็นศูนย์ตลอด ต้นทุนจะต้องสูงมากเพราะต้องล็อคทุกอย่าง ซึ่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมกับการควบคุมโรคจะสูงมาก แต่หากปล่อยให้ผู้ป่วยโควิด-19 สูงมากจนระบบสาธารณสุขรองรับไม่ได้ ตอนนั้นก็จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจประเทศเช่นกัน ดังนั้นจะต้องบริหารสถานการณ์ให้เกิดความสมดุล. อย่างไรก็ตาม พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยมีมากถึงร้อยละ 28 ในจำนวน ร้อยละ 27 เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน หากไทยทำทราเวลบับเบิล หรือการจับคู่ด้านการท่องเที่ยวกับประเทศจีน ในระยะยาวไทยก็จะได้รายได้นี้กลับมา
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า มีหลายประเทศที่จะทำทราเวลบับเบิลไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย เช่น จีน เริ่มเปิดให้สายการบินต่างๆเข้าประเทศ แต่มีการกำหนดจุดลง 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยมีการกำหนดมาตรการ เช่น หากไม่พบผู้โดยสารจากเที่ยวบินไม่ติดเชื้อเลยติดต่อกัน 3 สัปดาห์ก็จะมีการเพิ่มเที่ยวบิน หากพบติดเชื้อ 5-9 คน ก็ให้หยุดบิน 1สัปดาห์ มากกว่า 10 คน ก็ให้หยุดบิน 1 เดือน เป็นต้น สำหรับไทยและทั่วโลกเวลาจะเปิดจับคู่การเดินทางมีหลักการ คือ ดูประเทศที่จะจับคู่จากความเสี่ยงต่ำ กลาง สูง โดยดูจาก 2 เกณฑ์ ได้แก่ 1.จำนวนผู้ป่วยใหม่ ต่อวัน 2.ดูว่าระบบในประเทศจะจัดการควบคุมเคสใหม่ได้หรือไม่ ซึ่งสำหรับประเทศไทยจะจัดทราเวลบับเบิล จะเลือกประเทศเสี่ยงต่ำ. คือ จีนบางเมือง ญี่ปุ่น เกาหลี ใต้หวัน ออสเตเลีย นิวซีแลนซ์ เป็นต้น และดูจากความเสี่ยงระดับบุคคล เลือกคนที่มาทำธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ครูในโรงเรียน และความเสี่ยงในเชิงกิจกรรม ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เป็นต้น
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สำหรับมาตรการที่ไทยจะกำหนดดู 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1.มาตรการออกจากประเทศต้นทางก่อนมาถึงไทยต้องทำอะไรบ้าง 2.เมื่อขึ้นเครื่องบิน ขณะอยู่บนเครื่องต้องลดกิจกรรมระหว่างผู้โดยสารกับลูกเรือ มีการใส่หน้ากากตลอด หากผู้โดยสารมีการไอจามต้องมีการจัดแยกที่นั่ง และลูกเรือต้องมีชุด PPE ที่เหมาะสม เมื่อมาถึงสนามบินบางประเทศมีการกำหนดสนามบินที่ลง หรือแยกโซน เป็นต้น มีโรงแรมที่พักชัดเจน 3.ต้องตรวจเชื้อก่อน 72 ชั่วโมงหากนานกว่านั้นใช้ไม่ได้ เมื่อมาถึงต้องมีการตรวจแลปที่ไทย มีประกันค่ารักษาพยาบาลโรคโควิด-19 มีการตกลงกับโรงพยาบาลของรัฐหากเจ็บป่วยมีผู้ดูแล 4.การจะมาไทยได้ต้องอยู่ในประเทศที่เป็นทราเวลบับเบิลไม่น้อยกว่า 14 วัน และ5.ต้องมีบริษัทห้างร้านออกหนังสือเชิญมาเพื่อให้มีผู้ควบคุม มีการลงโปรแกรมติดตามตัวได้ตลอดว่าอยู่ที่ไหนอยู่ไทยห้ามปิดมือถือหรือลบแอป เด็ดขาด
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศจีนและญี่ปุ่น มีการยื่นหนังสือที่เป็นทางการเข้ามาให้ไทยซึ่งมีรายละเอียด ว่ามีขั้นตอนกำหนดอย่างไร โดยส่วนใหญ่คิดเหมือนกันคือตรวจเชื้อก่อนเข้า-ออกประเทศ และมีหนังสือเชิญจากประเทศต้นทาง เป็นต้น โดยหลักการไทยจะนำข้อเสนอต่างๆมาหารือและเจรจากันอีกครั้งก่อนจับคู่กัน แต่เบื้องต้นจะทำเป็นข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตามของไทยจะผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบก่อนดำเนินการ มีหลายฝ่ายสงสัยว่าถ้าประเทศที่ทำทราเวลบับเบิล คนไทยที่มาจากประเทศที่ทำทราเวลบับเบิลก็ทำเหมือนกัน คือไม่ต้องกักตัว เช่น หากทำกับญี่ปุ่นคนไทยกลับมาจากประเทศญี่ปุ่นก็ทำเหมือนกัน เป็นต้น พร้อมย้ำ การเปิดให้เดินทางนี้ ยัง ไม่ใช่นักท่องเที่ยว และขอย้ำว่าการตัดสินใจจะเป็นอย่างไรต้องรอ ศบค.ตัดสินใจอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย
