ศบค.ยันไม่ซ่อนตัวเลขผู้ป่วยไปอยู่ในโรคอื่น

ทำเนียบรัฐบาล 14 พ.ค. -ศบค.เผยผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 1 ราย มาจากพื้นที่เสี่ยงแต่ไม่แสดงอาการ ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยืนยันไม่ซ่อนตัวเลขผู้ป่วยไปอยู่ในโรคอื่น พบร้านตัดผมไม่ปฏิบัติตามมาตรการจำนวนมาก พร้อมนำบทเรียนเกาหลีใต้มีผู้ป่วยกลับมาพุ่งสูงขึ้นหลังผ่อนปรนเป็นกรณีศึกษา


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่าวันนี้ (14 พ.ค.) มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 1 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3,018 ราย รักษาหาย 2,850 ราย รักษาอยู่ 112 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตคงเดิม รวม 56 ราย โดยผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 39 ปี อาชีพรับจ้าง ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่เคยทำงานที่จังหวัดภูเก็ต โดยเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมพร้อมลูกและภรรยาเพื่อกลับเชียงใหม่ และได้รับการตรวจโรคจากเจ้าหน้าที่อสม. จังหวัดเชียงใหม่ พบติดเชื้อโควิด-19 

“ต้องวิเคราะห์ว่าผู้ป่วยติดเชื้อจากเหตุใด เนื่องจากไม่มีอาการใด ๆ และเป็นคนในวัยทำงาน แต่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ถือเป็นความสามารถในการค้นหาผู้ป่วยของ อสม.ในพื้นที่ ดังนั้น ประชาชนที่ออกจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงและไปในหลาย ๆ ที่ ถ้ามีอาการหรือต้องการเข้ารับการตรวจแม้จะไม่มีอาการก็ได้ ให้ไปตรวจได้ทันที เพราะการมาตรวจโดยเร็ว และถ้าพบติดเชื้อจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที” โฆษกศบค. กล่าว


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมา มีจำนวน 19 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยใน 28 วันที่ผ่านมา มี 49 จังหวัด มี 9 จังหวัดไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อน ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยสะสมมากที่สุด คือกรุงเทพมหานคร 1,531 ราย รองลงมาคือภูเก็ต 224 ราย และนนทบุรี 156 ราย

“ที่มีหลายคนสงสัยว่าไทยพบผู้ติดเชื้อน้อยอาจจะไปวินิจฉัยเป็นโรคอื่นหรือไม่ เช่น โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม ทางกรมควบคุมโรคได้เปิดเผยสถิติของโรคปอดอักเสบในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม- 9 พฤษภาคม 2563 พบว่าช่วงต้นปีมีผู้ป่วยจำนวนสูงและค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเกิดจากการรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอนามัย กินร้อนช้อนตัวเอง การล้างมือ ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อโรคโควิด-19 แล้ว ยังส่งผลดีกับโรคปอดอักเสบด้วย ยืนยันว่าไม่มีการซุกซ่อนตัวเลขผู้ป่วยของโควิด-19 โดยเห็นได้จากสถิติที่ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบลดลง และยืนยันว่าจะต้องดูแลผู้ป่วยทุก ๆโรคเป็นอย่างดีเช่นกัน” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 4,429,223 ราย เสียชีวิต 298,165 ราย สหรัฐอเมริกาพบติดเชื้อมากที่สุด  1,430,348 ราย ส่วนในกลุ่มอาเซียนและเอเชีย อินเดียมีผู้ป่วยสะสมมากที่สุด 78,055 รองลงมาคือปากีสถานและสิงคโปร์ ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 68 ของโลก ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ เกาหลีใต้มียอดผู้ติดเชื้อจากกลุ่มนักท่องเที่ยวผับย่านอิแทวอน เพิ่มขึ้นเป็น 131 ราย ล่าสุดเกาหลีใต้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 29 ราย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรวมเป็น 10,991 ราย


“ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดการระบาดขึ้นเป็นระลอกที่สอง หลังจากที่ทางการประกาศมาตรการผ่อนคลายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องออกมาตรการติดตามตัวผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อกว่า 10,000 คนให้มารายงานตัวและตรวจโรคกับทางการ โดยยังมีประชาชนกว่า 2,000 คนที่ยังไม่มารายงานตัว ทั้งนี้ บทเรียนจากประเทศเกาหลีใต้น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีที่ไทยจะได้เตรียมความพร้อม” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการรับมือของเกาหลีใต้ คือการตรวจคัดกรองประชาชนรูปแบบการขับรถเข้ารับบริการตามจุด หรือ Drive Thru และจากที่พักอาศัย รวมทั้งให้โรงพยาบาลแยกพื้นที่สำหรับรักษาผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ และใช้แอพพลิเคชั่นติดตามสุขภาพ การเดินทางของผู้ที่อยู่ระหว่างการกักตัว ส่วนมาตรการผ่อนปรนของเกาหลีใต้ ให้ประชาชนดำเนินกิจการและกิจกรรมทางสังคมได้ตามปกติ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและรักษาระยะห่างทางสังคม 

โฆษกศบค. กล่าวว่า ส่วนประเทศจีนมีมาตรการการรับมือโดยกำหนดโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19โดยเฉพาะ อีกทั้งแจกใบอนุญาตเข้าออกชุมชนแบบจำกัดจำนวนในแต่ละวัน ให้ผู้นำชุมชนติดตามสถานะทางสุขภาพของลูกบ้านอย่างใกล้ชิด สแกนคิวอาร์โค้ดทุกครั้งที่เข้าออกสถานที่ต่าง ๆ เพื่อบันทึกประวัติสุขภาพและการเดินทาง ให้ประชาชนซื้อยาผ่านแอพพลิเคชั่นโดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล ส่วนมาตรการผ่อนปรนตั้งแต่ 8 เมษายน ให้สถานที่สาธารณะบางแห่งเปิดทำการได้ และเปิดการสัญจรเข้าออกมณฑลหูเป่ยและเมืองอู่ฮั่น เพิ่มจำนวนเที่ยวรถโดยสารสาธารณะเข้าออกในกรุงปักกิ่ง และให้สถานที่ต่าง ๆ เปิดทำการ อาทิ สวนสาธารณะ ห้องสมุด สถานออกกำลังกาย ยกเว้นสระว่ายน้ำ สนามกีฬาที่มีผู้เล่นแบ่งกลุ่ม

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า วันนี้(14 พ.ค.) จะมีคนไทยที่ตกค้างกลับไทยจาก เยอรมนี 80 คน บังคลาเทศ 197 คน ซึ่งทั้งหมดต้องเข้ารับการกักกันในสถานที่ของรัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สำหรับผู้ที่เข้ารับการกักกันตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนถึง 13 พฤษภาคม 2563 มีเข้ารับการกักกันสะสม 18,139 คน ผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,599 คน ผู้กลับบ้านสะสม 8,540 คน โดย 3 ประเทศที่เดินทางกลับมาสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย อินเดีย และสหรัฐอเมริกา

โฆษกศบค. กล่าวว่า ส่วนผู้ฝ่าฝืนการประกาศเคอร์ฟิว มีประชาชนออกนอกเคหะสถาน 557 ราย รวมกลุ่มชุมนุมและมั่วสุมจำนวน  87 ราย ขณะที่การตรวจกิจการและกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จำนวน 22,972 แห่ง ตามมาตรการหลัก 5 ข้อ คือ ล้างมือ ใส่หน้ากาก เว้นระยะ ทำความสะอาด อย่าให้แออัด พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 21,400 แห่ง ปฏิบัติตามไม่ครบและได้รับคำแนะนำ 296 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.29 และมีผู้ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 2 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 0.01 แต่ทั้งนี้ จากการตรวจโดยละเอียดของกระทรวงมหาดไทยในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีมาตรการเฉพาะและใช้คู่มือของกระทรวงสาธารณสุขตรวจดูในเชิงคุณภาพ  เช่น ร้านตัดผม ที่จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ต่าง ๆ พบว่าร้านตัดผมไม่ปฏิบัติตามมาตรการจำนวนมาก.-สำนักข่าวไทย    

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ตร.แจ้ง 2 ข้อหามือมีดทำร้าย “เป๊ก” คาดปมเข้าใจผิด

3 ส.ค.- ตำรวจ สน.หัวหมาก แจ้ง 2 ข้อหา หนุ่มวัย 21 ใช้มีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” นักร้องชื่อดัง บาดเจ็บที่คางเป็นแผลฉกรรจ์ อ้างถูกหาเรื่องก่อน เบื้องต้นคาดปมเข้าใจผิด จ่อสอบปากคำเพิ่มเติม เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 3 ส.ค.68 ร.ต.อ.ชัยนรินทร์ กวีพราหมณ์ รอง.สว.(สอบสวน) สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีด มีผู้บาดเจ็บ ภายในปั๊มน้ำมัน ซอยรามคำแหง 76 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงไปตรวจสอบพร้อมกำลังสายตรวจฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.หัวหมาก และอาสามูลนิธิสยามร่วมใจปู่อินทร์ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน พบร่างนายผลิตโชค หรือ เป๊ก อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง มีบาดแผลฉกรรจ์ถูกอาวุธมีดฟันเข้าที่บริเวณใต้คาง 1 แผล ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ส่วนผู้ก่อเหตุไม่หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ […]

เฝ้าระวังตลอดคืน พบโดรนปริศนาบินล้ำเขตแดนอรัญฯ

สระแก้ว 3 ส.ค.- พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนจากกัมพูชาเข้ามาในไทย ชาวบ้าน-ชรบ.ในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เฝ้าระวังตลอดทั้งคืน คืนที่ผ่านมา เวลา 21.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยจุดที่ทีมข่าวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียง 2 กิโลเมตร บรรยากาศในพื้นที่ขณะนั้นมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกมาคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับแจ้งว่าอาจมีโดรนปริศนาเข้ามาในพื้นที่ ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ พบโดรนลำหนึ่งบินเข้ามาจากเขตชายแดนฝั่งกัมพูชา ล้ำเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยลึกประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่โดรนลำนั้นลอยอยู่เหนือพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลต์กำลังแรงสูงร่วมกับแสงเลเซอร์จากอุปกรณ์ของทหาร ส่องไปยังโดรนปริศนาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นลำตัวของโดรนแม้อยู่ในความมืด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยว่าโดรนลำนั้นมีเป้าหมายใดหรือเป็นของฝ่ายใด ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงเพิ่มมาตรการตรวจตราและเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดหรือภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ -สำนักข่าวไทย

เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ

3 ส.ค. – เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ ห้วงปะทะวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ (3 ส.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา ทหารได้ทำลายบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ ซึ่งสามารถขึ้นมาถึงภูมะเขือได้ หลังทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ภูมะเขือ ผลักดันทหารกัมพูชาอยู่บนจะงอยหน้าผาออกไปทั้งหมด พร้อมทำลายกระเช้า และฐานทหารกัมพูชาด้านล่างภูมะเขือ โดยการใช้โดรนติดระเบิด ล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพทหารทำลายบันไดช่องคานม้า ในระหว่างยึดพื้นที่ได้จากการเหตุปะทะช่วง 5 วันที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย

ชาวเชียงใหม่ร่วมจุดเทียนสดุดี 15 วีรบุรุษชายแดน

3 ส.ค.- ชาวเชียงใหม่ ร่วมกันจุดเทียน แสดงความไว้อาลัย สดุดี 15 วีรบุรุษทหารที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ หน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตัวเมืองเชียงใหม่ ประชาชนได้รวมตัวทำกิจกรรมร้องเพลง เขียนข้อความ พร้อมโบกธงชาติไทย เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการสดุดีทหาร 15 นายที่พลีชีพในการสู้รบปกป้องอธิปไตย อีกทั้งอ่านรายชื่อทหาร วางพวงหรีดและจุดเทียน แสดงความไว้อาลัยพร้อมทั้งยืนสงบนิ่ง อธิฐานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปลอดภัยทุกนาย นอกจากนี้ บริเวณย่านถนนท่าแพ หน้าอาคารพุทธสถานเชียงใหม่ มีการนำภาพทหารที่เสียชีวิตทั้ง 15 นายติดไว้ริมถนนและมีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชน มาวางดอกไม้ แสดงความอาลัย -สำนักข่าวไทย