ศบค. เตรียมเปิดประเทศ

ทำเนียบรัฐบาล 21 ก.พ.-ประชุม ศบค.ใหญ่พุธนี้ เตรียมเปิดประเทศ ไม่ล็อกดาวน์ ติงนักวิชาการแจงให้ชัดเป็นความเห็นส่วนตัว หวั่นทำปชช.-ผู้ประกอบการตระหนก นายกฯ กำชับเตรียมสถานพยาบาลรองรับกลุ่มสูงอายุ – มีครรภ์


พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลCOVID-19 รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 18,883 ราย ติดเชื้อในประเทศ 18,721 ราย แยกเป็นจากระบบเฝ้าระวังและบริการสุขภาพสูงถึง 18,618 ราย จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 86 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 17 ราย เดินทางจากต่างประเทศ 162 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 2,731,198 ราย

“ถ้ารวมยอดผู้ป่วยจากการตรวจ ATK จำนวน 15,010 ราย ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่จะมี 33,893 ราย หายป่วย 14,914 ราย รวมยอดรักษาหาย 2,542,145 ราย ยังรักษาอยู่จำนวน 166,397 ราย เป็นการรักษาอยู่ในรพ.77,071 ราย ในรพ.สนาม/HI-CI 89,326 ราย ทั้งนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 796 ราย มีผู้ป่วยหนักนี้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจถึง  202 ราย” ผู้ช่วยโฆษกศบค. กล่าว


พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 77 จังหวัด โดยกทม.ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 และเพิ่มขึ้นจากวานนี้(20 ก.พ.ขณะที่ต้องจับตานครศรีธรรมราชที่ตัวเลขติดเชื้อใหม่ก้าวกระโดดแซงสมุทรปราการ และชลบุรี ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ที่ 960 ราย โดยสมุทรปราการ หล่นไปอยู่อันดับ 3 จำนวน 928 ราย ลดลงจากเมื่อวานเล็กน้อย(จาก 975 ราย) ขณะที่อันดับ 4-8 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทั้งอันดับ 4 ชลบุรี อันดับ 5 นนทบุรี อันดับ 6 ภูเก็ต อันดับ 7 นครราชสีมา อันดับ 8 ระยอง ส่วนอันดับ 9-10 นครปฐม และบุรีรัมย์ ลดลงเล็กน้อย สำหรับจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยที่สุดคือลำพูน 10 ราย 51 จังหวัดที่มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เกินร้อยมากที่สุดที่ภาคกลาง 15 จังหวัด ตามด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14 จังหวัด ภาคใต้ 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 5 จังหวัด ภาคตะวันตก 4 จังหวัด และน่าจับตาภาคเหนือ ที่พบเกินร้อยเพิ่มขึ้นเป็น 4 จังหวัด

ผู้ช่วยโฆษกศบค. กล่าวว่า คลัสเตอร์ที่พบการระบาดในสถานบันเทิง ทั้งที่ขอนแก่น สงขลา และคลัสเตอร์ในโรงเรียนหลายจังหวัด ทั้ง น่าน หนองคาย เลย สุพรรณบุรี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ พะเยา ทั้งยังพบคลัสเตอร์ที่เป็นการติดเชื้อซ้ำในตลาด 6 จังหวัด ที่นครราชสีมา อุบลราชธานี นครพนม จันทบุรี สุรินทร์ เพชรบุรี รวมทั้งยังมีคลัสเตอร์งานศพ ที่มุกดาหาร งานบุญที่กาฬสินธุ์ หนองคาย อุดรธานี งานแต่งงาน การจัดเลี้ยง รับประทานอาหารร่วมกัน เล่นพนัน ตั้งวงดื่มสุรา โดยขอให้หน่วยงานท้องถิ่นช่วยกันกำชับและกวดขันให้เข้มข้น ทั้งนี้ ศบค. ขอให้งดกิจกรรมงดการสังสรรค์โดยไม่จำเป็นไว้ก่อน อีกทั้งที่น่าห่วงคือ ในโรงพยาบาลหลายแห่งหลายจังหวัด ที่ทำให้บุคลากรต้องติดเชื้อและต้องมีการกักตัว ทำให้ขาดเจ้าหน้าที่ในการดูแลประชาชน

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า วันนี้กรมการแพทย์รายงานว่าเตียงของโรงพยาบาลทั่วประเทศพบว่าอัตราครองเตียงระดับสองทั่วประเทศขณะนี้อยู่ที่ 19% ในสถานพยาบาลทั่วประเทศระดับสาม ยังมีอัตราครองเตียงอยู่ที่ 16.5% ทำให้เห็นว่ามีเตียงเพียงพอจะรองรับการเจ็บป่วยหนักสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ทุกจังหวัดเตรียมโรงพยาบาลสนามรองรับกรณีมีความจำเป็น  รววมทั้งขอความร่วมมือประชาชนที่มีอาการสีเขียวคือระดับไม่มีอาการ หากตรวจ ATK แล้วพบผลเป็นบวก ขอให้เลือกการรักษาตัวที่บ้านหรือ home isolstion หากเป็นบวกที่ชัดเจนขอให้ติดต่อไปที่ สปสช. 1330 กด 14 จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการ ตรวจสอบประวัติ และติดตามอาการ  อยากให้สงวนเตียงไว้ให้กลุ่มผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์


พญ.อภิสมัย กล่าวว่า วันนี้มีผู้เสียชีวิตอีก 32 ราย เป็นคนไทย 31 ราย เมียนมา 1 ราย เป็นเพศชาย 13 ราย เพศหญิง 19 ราย อายุ 28-92 ปี พบทุกภาคทั่วไทย มากสุดในกทม.6 ราย ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรคและเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคอ้วน ติดเตียง ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น โดยผู้เสียชีวิต 25 รายอายุ 60 ปีขึ้นไป และอายุน้อยกว่า 60 ปีแต่มีโรคเรื้อรัง 7 ราย

“วันนี้พบผู้เสียชีวิตเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วย 1 ราย อย่างไรก็ตามผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ติดเชื้อจากบุคคลใกล้ชิด หรือคนรู้จัก นอกจากนี้ยังพบว่าในจำนวนผู้เสียชีวิต 32 ราย ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถึง 19 ราย ฉีดครบ 2 เข็มระยะเกิน 4 เดือน  8 ราย และฉีดครบ 2 เข็มระยะไม่เกิน 4 เดือนอยู่ระหว่างรอรับเข็มกระตุ้น 5 รายทำให้ยอดเสียชีวิตขยับไปที่ 22,656 ราย” ผู้ช่วยโฆษกศบค. กล่าว

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สำหรับการประชุมศบค.ชุดใหญ่ในวันพุธนี้(23 ก.พ.) จะล็อกดาวน์หรือไม่นั้น ที่ประชุมศบค.ชุดเล็กยืนยันว่าไม่พูดถึง ซึ่งในที่ประชุมชุดใหญ่ จะมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมร่วมกัน การพิจารณาจะไม่ประเมินเฉพาะจำนวนยอดผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยหนักและผู้ติดเชื้อ แต่ต้องพิจารณารอบด้าน ที่สำคัญด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย

“การที่ประชาชนกังวล เกิดจากการบริโภคข้อมูล ที่มาจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญที่อาจทำให้เกิดความตกใจว่าจะล็อกดาวน์ ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีทิศทางจะประกาศล็อกดาวน์และขอความร่วมมือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ เวลาให้ความเห็นขอให้ระบุด้วยว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่เช่นนั้นประชาชนและผู้ประกอบการจะเกิดความกังวล ตื่นตระหนก การประชุมศบค.ชุดใหญ่จะอธิบายเหตุผลว่าถ้าไม่ล็อกดาวน์จะมีมาตรการรองรับการเปิดประเทศอย่างไร จะมีมาตรการเข้มงวดรองรับอย่างไร คงต้องติดตามกัน” ผู้ช่วยโฆษกศบค. กล่าว.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย