นนทบุรี 9 พ.ค. – พาณิชย์ติดตามสงครามการค้ารอบใหม่ หลังสหรัฐขู่ยกเลิกข้อตกลงการค้าระยะแรกกับจีน ชี้ไทยใช้โอกาสส่งออกสินค้าทดแทน 2 ประเทศ ชูสินค้ากลุ่มอาหาร
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงความกังวลว่าสหรัฐและจีนอาจกลับมามีความขัดแย้งทางการค้ากันอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้ สัมภาษณ์ว่า สหรัฐอาจยกเลิกข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรกกับจีน หากจีนไม่ทำตามข้อตกลงการซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2 ปี (วันที่ 1 ม.ค. 2563 – 31 ธ.ค. 2564) โดยสหรัฐพร้อมจะกลับมาใช้มาตรการกับจีนเพิ่มเติม โดยอ้างเหตุการพบความเชื่อมโยงระหว่างจีนและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังสร้างความเสียหายต่อประชากรและเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ การที่สหรัฐเร่งผลักดันให้จีนซื้อสินค้าอาจเกิดจากความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนหดตัวครั้งแรกในรอบ 33 ปี จะเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้าสหรัฐตามที่จีนตกลงไว้ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารกดดันให้จีนซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ภายหลังจากจีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 19 – 20 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่นำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐน้อยมาก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันลงนามข้อตกลงฯ 15 มกราคม 2563 จีนทยอยดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ อาทิ ด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหาร จีนยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าและเพิ่มความสะดวกการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐหลายรายการ เช่น สัตว์ปีกและสินค้าสัตวปีก อาหารสัตว์ โปรตีนจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม นมผงทารก และมันฝรั่งสด
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการค้าสหรัฐ – จีน ไตรมาสแรกของปี 2563 จีนนำเข้าจากสหรัฐกลุ่มสินค้าภายใต้ ข้อตกลงฯ เป็นมูลค่ารวม 19,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 3.1 เทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน จากกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้ากลุ่มพลังงานที่ชะลอตัวลงร้อยละ 17.0 และ 69.1 ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาคการผลิตและเศรษฐกิจจีนชะงักงันช่วงต้นปี ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 104.3 และมีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่เติบโตสูง อาทิ เนื้อและ เครื่องในสุกร สัตว์ปีก ข้าวฟ่าง ฝ้าย อย่างไรก็ตาม จีนมีการนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลงฯ เพียงร้อยละ 11.8 ซึ่งไม่ถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าที่จีนตกลงจะนำเข้าทั้งปี 169,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้สหรัฐเร่งผลักดันให้จีนนำเข้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงฯ ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรก กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานประเมินและระงับข้อพิพาท2 ฝ่าย ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถหารือและแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการดาเนินการตามข้อตกลงฯ ได้
ส่วนการใช้มาตรการกับจีนเพิ่มเติม โดยอ้างเหตุความเชื่อมโยงระหว่างจีนกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ขณะนี้ทางการสหรัฐอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลที่มาของการแพร่ระบาดเพิ่มเติมและพิจารณามาตรการที่อาจนำมาใช้กับจีน เช่น การคว่ำบาตร การยกเลิกการจ่ายคืนหนี้ที่กู้ยืมจากจีนในรูปพันธบัตร และนโยบายทางการค้าใหม่เพิ่มเติมจากเดิม นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์อาจใช้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เร่งผลักดันการโยกย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนมากขึ้น
นอกจากนี้ ท่ามกลางสงครามการค้าปีที่ผ่านมา แม้ว่าการส่งออกจากไทยไปจีนจะหดตัวร้อยละ 3.8 แต่การส่งออกไปสหรัฐยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 11.8 และไทยยังมีโอกาสในทั้ง 2 ตลาด ด้วยความสามารถในการทดแทนสินค้าที่สหรัฐและจีนขึ้นภาษีระหว่างกัน โดยปี 2562 ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.35 จากร้อยละ 1.26 ในปี 2561 สินค้าที่เติบโตดีในตลาดสหรัฐ อาทิ อาหารทะเล แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 1.0 ผลิตภัณฑ์พลาสติก ขยายตัวร้อยละ 15.9 รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 6.9 เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 6.6 เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และ ของใช้ในบ้านเรือน ขยายตัวร้อยละ 32.8 เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 93.1 รวมทั้งมีส่วนแบ่งใน ตลาดจีนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.23 จากร้อยละ 2.10 ในปี 2561 สินค้าที่เติบโตดีในตลาดจีน อาทิ กุ้งสด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 69.7 เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 23.4 เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ขยายตัวร้อยละ 21.0 และ เครื่องสาอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ขยายตัวร้อยละ 34.8
สำหรับการส่งออกของไทยปี 2563 พบว่าสินค้าที่เคยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่าง อิเล็กทรอนิกส์ สัดส่วนร้อยละ 14 ของการส่งออกรวม กลับมาขยายตัวตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 สะท้อนการปรับตัวของการส่งออกไทย ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้าต่อการส่งออกไทยเริ่มลดลง และอานิสงส์จากการที่ไทยสามารถเป็นห่วงโซ่การผลิตทดแทนสินค้าจีนในช่วงโรงงานในอู่ฮั่นปิดทำการจาก โควิด-19 โดยไตรมาสแรกของปี 2563 การส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 4.5 สินค้าที่เติบโตได้ดี อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 8.8 เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 229.2 วงจรพิมพ์ ขยายตัวร้อยละ 6.3 เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์ ขยายตัวร้อยละ 26.3 และการเติบโตกระจายตัวในหลายตลาดมากขึ้น ได้แก่ สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 39.1 ฮ่องกง ขยายตัวร้อย ละ 1.0 จีน ขยายตัวร้อยละ 14.6 สิงคโปร์ ขยายตัวร้อยละ 22.8 เวียดนาม ขยายตัวร้อยละ 20.4 ไต้หวัน ขยายตัวร้อยละ 28.7 เกาหลีใต้ ขยายตัวร้อยละ 6.5 และอินโดนีเซีย ขยายตวั ร้อยละ 7.1
อย่างไรกตาม ยังต้องประเมินแนวโน้มการทดแทนอีกสักระยะว่าประเทศผู้นำเข้าจะใช้แหล่งทางเลือกทดแทนจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างถาวรหรือไม่ ภายหลังโรงงานในจีนกลับมาเปิดทำการตามปกติ นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารขยายตัวได้ดีตอบสนองแนวโน้มความต้องการความมั่นคงทางอาหารท่ามกลางสถานการณโควิด-19 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ไกสด แช่เย็นและแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 28.6 ผักกระปองและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 11.7 ผลไม้กระปองและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 9.0 สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 12.1
ทั้งนี้ ในภาพรวมถือว่าผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวรองรับสงครามการค้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์และท่าทีระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะขณะนี้สหรัฐกำลังเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเดือนพฤศจิกายน 2563 ช่วงนี้ประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกนโยบายหรือมาตรการอื่น ๆ กับจีนเพิ่มเติมอีก และจากข้อมูลการค้าสหรัฐ-จีนภาพรวมครอบคลุมสินค้าทุกรายการ (ไม่ใช่เพียงสินค้าภายใต้ข้อตกลงฯ) พบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2563 จีนนำเข้าจากสหรัฐเป็นมูลค่า 27,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 3.6 เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ขณะที่จีนส่งออกไปสหรัฐ 68,183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึงร้อยละ 25.1 โดยสหรัฐเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าจีน 40,706 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว พบว่าสหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนลดลงเกือบ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย