ติดเชื้อเพิ่ม 102ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 มีคนฝ่าฝืนเคอร์ฟิว 622 คน

ทำเนียบรัฐบาล 5 เม.ย.- ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 พบผู้ป่วยใหม่ 102 ราย ผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,169 ราย เสียชีวิตรวม 23 ราย พบ 1 ราย อายุเพียง 30 ปี ถือว่าน้อยสุด แต่มีประวัติดื่มสุราเป็นประจำ ขณะยังมีคนฝ่าฝืนเคอร์ฟิวถึง 622 คน ดำเนินคดีแล้ว 325 คน 


นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามเรื่องการติดตามตัว 158 คนไทย โดยสั่งการทุกหน่วยงานให้ทำงานอย่างบูรณาการ ซึ่งติดตามตัวมาได้ครบทุกคนแล้ว ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณทั้ง 158 คนไทยที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกัน ทั้งนี้ ตัวเลขล่าสุดที่เข้ามารายงานตัว จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกในต่างจังหวัด 65 คน 27 จังหวัด แบ่งสถานที่กักตัวเป็น 3 ส่วน ได้แก่ โรงพยาบาล โรงแรมหรือรีสอร์ท และสถานที่ราชการ ส่วนใน กทม.และปริมณฑล รายงานตัว 93 คน เข้าพักที่โรงแรมใน กทม. 2 แห่ง ยืนยัน กระทรวงสาธารณสุขจะเข้าไปดูแลอย่างดี มั่นใจได้ว่า หากติดเชื้อก็จะดูแลอย่างดี ไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อ โดยมีผู้ตรวจราชการของกระทรวงสาธารณสุขนำทีมเข้าไปคัดกรองและที่พบก่อนหน้านี้ว่า 3 รายมีอาการป่วยนั้น มี 1 รายที่รายงานตัวแล้ว อีก 2 รายยังสอบสวนหาตัวอยู่ พร้อมขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้กับสถานที่กักตัวของรัฐ 

นายแพทย์ทวีศิลป์ ยังกล่าวถึงการประกาศเคอร์ฟิวเวลา 22.00-04.00 น.ว่า ในคืนวันที่ 3-4 เมษายน ได้ตั้งจุดตรวจจำนวน 634 จุด มีรถผ่าน 7,997 กว่าคัน มี 10,000 กว่าคนที่ผ่านจุดตรวจ และพบการกระทำผิดไม่มีเหตุผลในการเดินทาง เป็นรถยนต์ 522 คัน 677 คน นอกจากนี้ยังพบการรวมกลุ่มมั่วสุม เช่น การดื่มสุรา การเสพยาเสพติด คิดเป็น ยานพาหนะ 24 คัน จำนวน 41 คน โดยทั้งหมด มีการตักเตือน 375 คน ดำเนินคดี 325 คน 


นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่าเมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) มีคนไทยเดินทางเข้ามา 2 เที่ยวบิน จากมาเลเซีย 51 คน กาตาร์ 47 คน ซึ่งนำไปกักตัวในโรงแรม 2 แห่ง โดยการดำเนินการของเจ้าหน้าที่มีความรวดเร็วขึ้น ใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง และบูรณาการของภาครัฐได้ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานของทุกคน

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในฐานะโฆษกศูนย์ ศบค. กราบขออภัยคนไทยที่ติดค้างอยู่ต่างประเทศ ที่ทราบคือผู้ที่กำลังต่อเครื่อง ที่ต้องรอคอยอยู่ในสนามบินต่างประเทศ โดยได้รับรายงานว่ามีคนไทยต้องติดอยู่สถานที่ต่างๆ ทำให้เกิดความไม่สะดวกบ้าง สถานทูตก็ได้เข้าไปดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งที่ต้องยืดเวลาเพราะเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมการในการดูแลเมื่อเดินทางมาถึงอย่างดีที่สุด โดยตอนนี้ ทราบว่า จำนวนคนไทยที่จะเดินทางเข้ามาไม่มากแล้ว ตัวเลขอยู่ที่ประมาณหลัก 200-300 คนต่อวัน แต่ย้ำว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับทุกคน ทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดี ขอให้อดทนสักนิด ทั้งนี้ ยืนยันว่า ต่างชาติยังชื่นชม สถานที่กักตัวโดยรัฐและอาหารการกินที่ดีกว่าหลายประเทศ

นายแพทย์ทวีศิลป์ ยังรายงานสถานการณ์วันนี้ (5 เม.ย.)ว่า ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 102 ราย พบใน 66 จังหวัด รวมผู้ป่วย 2,169 ราย หายป่วยแล้ว 674 ราย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวม 23 คน โดยผู้เสียชีวิตรายแรก เป็นชายไทย 46 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางกลับจากกรุงลอนดอนถึงไทย ในวันที่ 22 มีนาคม เข้ารับการรักษาครั้งแรกในวันที่ 25 มีนาคม ด้วยอาการไข้ 38.9 องศา มีอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ หายใจลำบาก ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 3 เมษายน ส่วนผู้เสียชีวิตรายที่ 2 เป็นชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ อายุ 82 ปี เป็นโรคหัวใจ มีประวัติเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ได้ร่วมงานเลี้ยงในหมู่บ้านที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และร่วมงานเลี้ยงในบาร์ ร้านอาหารย่านสุขุมวิท กทม. โดยมีอาการไข้ 39.2 องศา มีความดันโลหิตสูง หายใจเหนื่อยหอบ เบื้องต้นแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดบวม ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ก่อนจะย้ายมารักษาโรงพยาบาลที่เพชรบุรีก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้านผู้เสียชีวิตรายที่สาม เป็นชายไทยอายุ 30 ปี มีอาชีพก่อสร้าง มักดื่มสุราเป็นประจำ เดินทางจากจังหวัดพัทลุงและสุรินทร์ มีอาการป่วย ไอ ไม่มีไข้ เสมหะเขียว อาเจียนเป็นเลือด น้ำหนักลด เหนื่อยหอบ ออกซิเจนในเลือดต่ำ ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา


อย่างไรก็ตาม ได้นำกรณีผู้เสียชีวิต 20 รายก่อนหน้านี้มาเรียนรู้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยพบผู้ป่วยชายเสียชีวิตมากกว่าเพศหญิง โรคประจำตัวที่พบส่วนใหญ่คือ เบาหวาน 50% ความดันโลหิตสูง 35% โรคไตเรื้อรัง 15% ไขมันในเลือดผิดปกติ 15% และโรคอื่นๆได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคและมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตของกลุ่มคนอายุ 50-69 ปี คือ กลุ่มที่ไปต่างประเทศและพิธีทางศาสนา ส่วนปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตของกลุ่มคนอายุ 70 ปีขึ้นไป คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสนามมวย และกลุ่มอายุ 80-89 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการป่วยตายมากที่สุด 

ขณะที่ในจำนวนผู้ป่วยเพิ่ม 102 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 48 คน เป็นสถานบันเทิง 2 คน พิธีกรรมทางศาสนา 2 คน และสัมผัสผู้ป่วยยืนยันใกล้ชิด 44 คน  

กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ป่วยอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 42 คน อาทิ คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 13 คน ส่วนใหญ่มาจากอังกฤษ 7 คน เป็นอาชีพเสี่ยงที่ทำงานในสถานที่แออัดหรือใกล้ชิดสัมผัสชาวต่างชาติ 19 คน บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข 2 คน และกลุ่มที่ 3 อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 12 คน

สำหรับผู้ป่วยใหม่ทั้ง 102 คน เป็นคนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสูงสุด 34 คน รองลงมา ภูเก็ต 24 คน ซึ่งเป็นอาชีพเสี่ยง 10 คน และเป็นผู้สัมผัสผู้ป่วย 8 คน สมุทรปราการ 9 คน ชลบุรี 8 คน นนทบุรี 7 คน เชียงใหม่ 3 คน ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พัทลุง ลำปาง 2 คน และ นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สกลนคร สระแก้ว สุรินทร์ จังหวัดละ 1 คน 

สำหรับผู้ป่วยสะสมทั้ง 2,169 คน ใน 66 จังหวัด 10 อันดับสูงสุดของจังหวัดที่พบผู้ป่วยคือ กรุงเทพหานคร 1,011 คน นนทบุรี 137 คน ภูเก็ต 131 คน สมุทรปราการ 108 คน ชลบุรี 68 คน ยะลา 52 คน ปัตตานี 45 คน สงขลา 37 คน เชียงใหม่ 36 คน ปทุมธานี 28 คน และอยู่ระหว่างสอบสวน 179 คน 

นายแพทย์ทวีศิลป์ ยังชี้ให้เห็นผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ  ส่วนใหญ่กลับจากยุโรปจำนวน 85 ราย  มาเลเซีย 49 ราย  อินโดนิเซีย 44 ราย  กัมพูชา 26 ราย ปากีสถาน 14 ราย ญี่ปุ่น 10 ราย สหรัฐอเมริกา 9 ราย และอื่นๆ 12 ราย จึงขอบคุณทั้ง 158 คนไทยที่กลับเข้ามากักตัวกับทางรัฐ ทั้งนี้ ยังแนะว่า ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ แม้จะมีใบรับรองแพทย์และกักตัวที่ประเทศต้นทางมาแล้ว 14 วัน แต่ก็ต้องปรับตัวที่ประเทศไทยอีก 14 วัน เพื่อความมั่นใจและไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่น ขณะเดียวกัน ยังวิเคราะห์ว่า การติดเชื้อภายในประเทศในระยะเวลา 7 วันล่าสุด  ในส่วนของ กทม.มีแนวโน้มลดลง ส่วนต่างจังหวัดค่อนข้างคงที่ ขณะที่การติดเชื้อจากต่างประเทศใน 7 วันล่าสุดนั้น ต่างชาติไม่เกิน 10 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มาจากยุโรป คนไทย 25 รายต่อวันจากยุโรป  ปากีสถาน  และอินโดนีเซีย  (ดาวะห์) 

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกในขณะนี้  สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อมากที่สุด  310,233 ราย เสียชีวิต 8,445 ราย รองลงมาคือสเปน มีผู้ติดเชื้อ 126,168 ราย เสียชีวิต 11,947 ราย และอิตาลี มีผู้ติดเชื้อ 124,632 ราย เสียชีวิต 15,362 ราย โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 38 อย่างไรก็ตามชื่นชม 11 จังหวัดที่ยังไม่มีอะไรการรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ  ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พังงา พิจิตร ระนอง สตูล สิงห์บุรี อ่างทอง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]